ศึกจ้าวมวยไทย วันเสาร์ที่ 29 พฤศจิกายน 2568 ณ เวทีสยามอ้อมน้อย ถือเป็นหนึ่งในรายการมวยไทยประจำสัปดาห์ที่แฟนมวยทั่วประเทศตั้งตารอชมกันอย่างต่อเนื่อง เพราะศึกจ้าวมวยไทย ขึ้นชื่อเรื่องการจัดคู่มวยที่สูสี ดุเดือด และเน้นสไตล์มวยไทยแท้ ๆ ที่มีทั้งศอก เข่า หมัด เตะ ครบเครื่องตามแบบฉบับมวยอาชีพ โดยในสัปดาห์นี้เริ่มชกตั้งแต่เวลา 12.15 น. เป็นต้นไป รวมทั้งสิ้น 5 คู่ ครอบคลุมพิกัดตั้งแต่ 103 ปอนด์ ไปจนถึง 120 ปอนด์ ถือเป็นบัตรมวยที่กระชับแต่เข้มข้น แฟนมวยสามารถรับชมศึกจ้าวมวยไทย ได้เต็มอิ่มทั้งการเชียร์และการวิเคราะห์ไปพร้อมกัน
ภาพรวมศึกจ้าวมวยไทย วันเสาร์ที่ 29 พฤศจิกายน 2568 เวทีสยามอ้อมน้อย
ศึกจ้าวมวยไทย เป็นรายการมวยไทยถ่ายทอดสดช่วงเที่ยงวันเสาร์ที่แฟนมวยติดตามมาอย่างยาวนาน โดยเวทีสยามอ้อมน้อยถือเป็นสนามหลักของรายการนี้
พร้อมบรรยากาศอันเป็นเอกลักษณ์ ทั้งเสียงเชียร์จากเซียนมวยริมเวที การวิเคราะห์คู่ชกของบรรดากูรู และลีลาฟันธงมวยจากเซียนชื่อดัง
ในสัปดาห์นี้ศึกจ้าวมวยไทย จัดคู่มวยคุณภาพ 5 คู่ ซึ่งมีทั้งมวยพิกัดเล็กที่เน้นเกมเร็วอย่าง 103 ปอนด์ จนถึงพิกัดกลางอย่าง 118 และ 120 ปอนด์
โดยแต่ละคู่ล้วนมาจากค่ายมวยที่แฟนมวยคุ้นเคย เช่น วันของโอม.WKO, พี.เค.แสนชัยมวยไทยยิม, เกียรติเพชรเดชะ, เกียรติเจริญชัย, บูมเด็กเซียน, ศรีพนมยิม และศิษย์จ้าวสิงห์ทอง
ด้วยโครงสร้างบัตรที่จัดแบบ “ห้าคู่เน้น ๆ” ทำให้ศึกจ้าวมวยไทย สัปดาห์นี้ไม่มีคู่ไหนถูกจัดมาเป็นเพียงทางผ่าน ทุกคู่ล้วนมีความหมายต่อฟอร์มของนักมวยและชื่อเสียงของค่าย
ตั้งแต่เพชรก้องฟ้า วันของโอม.WKO เปิดหัวกับสิงห์ชนะ เกียรติเพชรเดชะ ในพิกัด 103 ปอนด์
ไปจนถึงคู่ปิดท้ายอย่าง เดียร์ ศรีพนมยิม ปะทะ พญาเสือ ศิษย์จ้าวสิงห์ทอง ในพิกัด 109 ปอนด์
เมื่อบวกกับการชั่งน้ำหนักที่ค่อนข้างสมดุลและไม่ห่างมาก ศึกจ้าวมวยไทย ชุดนี้จึงเป็นอีกหนึ่งสัปดาห์ที่คอมวยไม่ควรพลาดทั้งการชมและการวิเคราะห์ก่อนเกม
ตารางการแข่งขัน ศึกจ้าวมวยไทย 29 พฤศจิกายน 2568
ตารางโปรแกรมมวยต่อไปนี้ เป็นการสรุปข้อมูลคู่ชกทั้งหมดในศึกจ้าวมวยไทย วันเสาร์ที่ 29 พฤศจิกายน 2568 ณ เวทีสยามอ้อมน้อย
โดยแสดงทั้งชื่อคู่ชก พิกัดการชก น้ำหนักที่ชั่งได้จริง และสถานะของน้ำหนักว่าขาดหรือลดจากพิกัดเท่าใด
ข้อมูลในรูปแบบตารางนี้ช่วยให้แฟนมวยสามารถมองภาพรวมของศึกจ้าวมวยไทย ได้อย่างรวดเร็ว
และยังใช้เป็นพื้นฐานสำหรับการวิเคราะห์ความได้เปรียบเสียเปรียบเชิงสรีระของนักมวยแต่ละคู่ก่อนขึ้นชกจริงบนสังเวียน
| คู่ที่ | มุมแดง | พิกัด (ปอนด์) | ชั่งได้ | สถานะน้ำหนัก | มุมน้ำเงิน | พิกัด (ปอนด์) | ชั่งได้ | สถานะน้ำหนัก | หมายเหตุ |
|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
| 1 | เพชรก้องฟ้า วันของโอม.WKO | 103.0 | 102.8 | ขาด 0.2 ปอนด์ | สิงห์ชนะ เกียรติเพชรเดชะ | 103.0 | 103.0 | ตามพิกัด | คู่เปิดหัวพิกัด 103 ปอนด์ |
| 2 | พันเอก พี.เค.แสนชัยมวยไทยยิม | 103.0 | 102.8 | ลด 0.2 ปอนด์ | ยอดเพชรเอก บูมเด็กเซียน | 103.0 | 102.4 | ลด 0.6 ปอนด์ | มวยเล็กเชิงจัด 103 ปอนด์ |
| 3 | จ้าวอินทรีย์ เกียรติเจริญชัย | 120.0 | 120.0 | ตามพิกัด | ซันเดย์ บูมเด็กเซียน | 120.0 | 119.8 | ลด 0.2 ปอนด์ | พิกัดกลาง 120 ปอนด์ |
| 4 | ดำทมิฬ ปืนรัตนา | 118.0 | 118.0 | ตามพิกัด | เพชรช่อฟ้า อีเกิ้ลมวยไทย | 118.0 | 117.6 | ขาด 0.4 ปอนด์ | เกมดุเดือด 118 ปอนด์ |
| 5 | เดียร์ ศรีพนมยิม | 109.0 | 109.0 | ตามพิกัด | พญาเสือ ศิษย์จ้าวสิงห์ทอง | 109.0 | 108.8 | ขาด 0.2 ปอนด์ | คู่ปิดท้ายศึกจ้าวมวยไทย |
จากตารางจะเห็นว่ามวยในศึกจ้าวมวยไทย สัปดาห์นี้มีการชั่งน้ำหนักที่ค่อนข้างสมดุล ไม่มีผู้ใดหลุดเกินพิกัดจนน่ากังวล
ส่วนใหญ่จะเป็นการชั่งได้ตามพิกัดหรือขาด–ลดเล็กน้อยในช่วง 0.2–0.6 ปอนด์เท่านั้น
เช่น เพชรก้องฟ้าที่ขาด 0.2 ปอนด์ ขณะที่คู่ชกอย่างสิงห์ชนะชั่งได้ตามพิกัดเป๊ะ
หรือพันเอกที่ลด 0.2 ปอนด์เทียบกับยอดเพชรเอกที่ลด 0.6 ปอนด์เล็กน้อย
รายละเอียดเหล่านี้แม้จะดูเป็นตัวเลขเล็ก ๆ แต่ในโลกของมวยอาชีพก็สามารถมีผลต่อความสดของร่างกายและรูปแบบการชกในศึกจ้าวมวยไทย ได้อย่างมีนัยสำคัญ
วิเคราะห์คู่มวย ศึกจ้าวมวยไทย แบบเจาะลึกทุกคู่
การวิเคราะห์คู่มวยในศึกจ้าวมวยไทย ไม่ได้มองเพียงแค่ชื่อหรือค่าย แต่รวมถึงปัจจัยเรื่องน้ำหนักที่ชั่งจริง พิกัดที่ถูกกำหนด และแนวโน้มสไตล์การชกของแต่ละฝ่าย
เมื่อรวมเข้ากับมาตรฐานของเวทีสยามอ้อมน้อยและความจริงจังของนักมวยที่ขึ้นรายการนี้เป็นประจำ
จะช่วยให้แฟนมวยสามารถติดตามการแข่งขันในศึกจ้าวมวยไทย ได้อย่างมีอรรถรสยิ่งขึ้น ทั้งในมุมของการเชียร์และมุมของการศึกษาศิลปะมวยไทยไปพร้อมกัน
คู่ที่ 1 เพชรก้องฟ้า วันของโอม.WKO vs สิงห์ชนะ เกียรติเพชรเดชะ (พิกัด 103 ปอนด์)
คู่เปิดหัวของศึกจ้าวมวยไทย เป็นมวยพิกัดเล็ก 103 ปอนด์ที่น่าจับตามองอย่างมาก
เพชรก้องฟ้า วันของโอม.WKO ชั่งได้ 102.8 ปอนด์ ขาดไป 0.2 ปอนด์ ขณะที่ สิงห์ชนะ เกียรติเพชรเดชะ ชั่งได้ตามพิกัด 103 ปอนด์พอดี
ความต่างด้านน้ำหนักจริงถือว่าเล็กน้อย แต่หมายความว่าสิงห์ชนะจะมีมวลตัวเต็มกว่าเล็กน้อย ขณะที่เพชรก้องฟ้าได้ความเบาและความคล่องตัวเพิ่มขึ้น
มวยพิกัดเล็กแบบนี้ในศึกจ้าวมวยไทย มักมีเกมการชกที่เร็ว จังหวะเข้าทำและออกตัวสำคัญอย่างยิ่งในการชิงคะแนน
เพชรก้องฟ้า จากค่ายวันของโอม.WKO น่าจะมาด้วยสไตล์มวยฝีมือ เน้นการจดจังหวะแล้วออกแข้ง–หมัดที่คมและแม่น ใช้ความคล่องตัวเข้าสร้างความได้เปรียบด้านความเร็ว
ในขณะที่ สิงห์ชนะ จากเกียรติเพชรเดชะ อาจใช้ความแน่นของร่างกายและแรงปะทะเป็นจุดแข็ง เน้นเดินเข้าหาและบีบให้เพชรก้องฟ้าต้องปักหลักสู้มากกว่าเล่นวงนอก
ศึกจ้าวมวยไทย คู่เปิดหัวคู่นี้จึงมีโอกาสเป็นการเจอกันของมวยสายฝีมือที่เน้นความเร็วกับมวยสายแข็งที่เน้นแรงปะทะ ผู้ที่สามารถดึงรูปมวยให้เข้าทางตัวเองได้ก่อนย่อมมีโอกาสขึ้นนำในสายตากรรมการอย่างชัดเจน
คู่ที่ 2 พันเอก พี.เค.แสนชัยมวยไทยยิม vs ยอดเพชรเอก บูมเด็กเซียน (พิกัด 103 ปอนด์)
คู่ที่สองของศึกจ้าวมวยไทย ยังคงอยู่ในพิกัด 103 ปอนด์ แต่เพิ่มระดับเชิงมวยและชื่อค่ายให้เข้มข้นขึ้นไปอีก
พันเอก พี.เค.แสนชัยมวยไทยยิม ชั่งได้ 102.8 ปอนด์ ต้องลดลงจากพิกัดเล็กน้อย ขณะที่ยอดเพชรเอก บูมเด็กเซียน ชั่งได้ 102.4 ปอนด์ ลดไปถึง 0.6 ปอนด์
จุดนี้บ่งบอกว่าทั้งสองฝ่ายมีการคุมรูปร่างและน้ำหนักอย่างดี แต่ยอดเพชรเอกต้องเค้นน้ำหนักมากกว่านิดหน่อย ซึ่งอาจมีผลต่อความสดในช่วงยกท้ายหากเกมเดินเร็วตั้งแต่ต้น
พันเอกจากสาย พี.เค.แสนชัยฯ เป็นค่ายที่ขึ้นชื่อเรื่องการฝึกมวยที่ละเอียดและครบทุกมิติ ทั้งเกมรุก–รับ ศอก–เข่า และจังหวะการออกอาวุธ
ขณะที่ ยอดเพชรเอกจาก บูมเด็กเซียน ก็เป็นตัวแทนของมวยสายบู๊ที่แฟนมวยคุ้นชื่อว่ามักมาพร้อมเกมเดินชนสนุก
ไฟต์นี้ของศึกจ้าวมวยไทย จึงน่าจะเป็นการปะทะระหว่างมวยฝีมือเชิงจัดที่มาจากค่ายใหญ่มาตรฐานสูง กับมวยบู๊ดุดันที่มีความเร็วและความกล้าแลกเป็นจุดขาย
หากพันเอกควบคุมจังหวะและใช้ความคมของอาวุธได้ดี เขาอาจคุมเกมได้ แต่ถ้าเปิดช่องให้ยอดเพชรเอกเดินกดดันมากเกินไป ก็มีโอกาสถูกความดุของฝ่ายน้ำเงินพลิกสถานการณ์ได้เช่นกัน
คู่ที่ 3 จ้าวอินทรีย์ เกียรติเจริญชัย vs ซันเดย์ บูมเด็กเซียน (พิกัด 120 ปอนด์)
คู่ที่สามของศึกจ้าวมวยไทย ขยับไปที่พิกัด 120 ปอนด์ ซึ่งถือเป็นรุ่นกลางที่ผสมผสานทั้งความเร็วและแรงปะทะเข้าด้วยกันอย่างลงตัว
จ้าวอินทรีย์ เกียรติเจริญชัย ชั่งได้ตามพิกัด 120 ปอนด์เต็ม ส่วน ซันเดย์ บูมเด็กเซียน ชั่งได้ 119.8 ปอนด์ ลดลง 0.2 ปอนด์จากพิกัด
ความต่างด้านน้ำหนักจริงแทบไม่มีผลให้เห็นชัดในแง่สรีระ แต่อาจส่งผลเล็กน้อยในเรื่องความคล่องของซันเดย์ ที่ตัวเบากว่าเล็กน้อย
อย่างไรก็ดี ทั้งสองต่างมาจากค่ายที่มีชื่อเสียง ทำให้แฟนมวยมั่นใจได้ว่าคู่มวยนี้ถูกเตรียมตัวมาอย่างดีสมมาตรฐานศึกจ้าวมวยไทย อย่างแน่นอน
จ้าวอินทรีย์ จากเกียรติเจริญชัย มีชื่อสกุล “จ้าวอินทรีย์” ที่บ่งบอกถึงแนวทางมวยที่เน้นการโจมตีอย่างสง่างามและมีมุมมองเกมที่กว้าง
เขาอาจใช้การเดินประกบ แทรกด้วยลูกเตะและเข่าเต็มแรงเพื่อสร้างความเสียหายต่อคู่ชก
ขณะที่ ซันเดย์ จากบูมเด็กเซียน น่าจะมาในสไตล์มวยเข่าเดินบู๊ตามแบบฉบับค่าย เน้นออกอาวุธต่อเนื่องไม่ให้จ้าวอินทรีย์ได้มีเวลาจัดท่า
ในศึกจ้าวมวยไทย คู่นี้จึงมีโอกาสเป็นมวยสามยกที่ใส่กันเต็มที่ตั้งแต่ต้นจนจบ โดยผลแพ้ชนะอาจขึ้นอยู่กับว่าใครสามารถยืนระยะเกมหนักได้ดีกว่าอีกฝ่ายในช่วงท้าย
คู่ที่ 4 ดำทมิฬ ปืนรัตนา vs เพชรช่อฟ้า อีเกิ้ลมวยไทย (พิกัด 118 ปอนด์)
คู่ที่สี่ในพิกัด 118 ปอนด์ เป็นการพบกันระหว่าง ดำทมิฬ ปืนรัตนา ที่ชั่งได้ตามพิกัด 118 ปอนด์เต็ม กับ เพชรช่อฟ้า อีเกิ้ลมวยไทย ที่ชั่งได้ 117.6 ปอนด์ ขาดไป 0.4 ปอนด์
ดำทมิฬจึงมีน้ำหนักจริงเต็มพิกัด ขณะที่เพชรช่อฟ้าเบากว่าเล็กน้อย ถือเป็นคู่มวยที่น่าสนใจเพราะพิกัด 118 ปอนด์มักเป็นรุ่นที่สาดอาวุธใส่กันอย่างหนักแน่นและเต็มไปด้วยการปะทะวงในที่ดุเดือด
ความต่างของน้ำหนักเล็กน้อยอาจส่งผลให้ดำทมิฬมีความแน่นส่วนเพชรช่อฟ้าเน้นความคล่อง แต่ทั้งสองก็ยังอยู่ในกรอบใกล้เคียงกันมาก
ดำทมิฬจากค่ายปืนรัตนา น่าจะมาในสไตล์มวยฝีมือผสมบู๊ ใช้ความแข็งแกร่งของร่างกายเป็นจุดเด่น เดินกดดันคู่ชกและพยายามเข้าปะทะระยะใกล้เพื่อใช้วงใน
ส่วนเพชรช่อฟ้า อีเกิ้ลมวยไทย อาจใช้เกมคุมระยะ ต่อยหมัดนำแล้วเตะซ้ำเป็นชุด ใช้ความเบาตัวและความไวในการเข้า–ออกอย่างมีชั้นเชิง
ศึกจ้าวมวยไทย คู่นี้จึงเป็นการเจอกันของ “มวยหนักแน่น” กับ “มวยพลิ้ว” อย่างแท้จริง
และไฟต์นี้อาจกลายเป็นไฟต์ที่ทำให้คนดูตัดสินใจยกให้เป็นคู่มันส์ประจำสัปดาห์ได้ไม่ยาก หากทั้งสองแข้งใส่กันเต็มที่ตั้งแต่เสียงระฆังยกแรก
คู่ที่ 5 เดียร์ ศรีพนมยิม vs พญาเสือ ศิษย์จ้าวสิงห์ทอง (พิกัด 109 ปอนด์)
คู่ปิดท้ายศึกจ้าวมวยไทย สัปดาห์นี้เป็นไฟต์พิกัด 109 ปอนด์ระหว่าง เดียร์ ศรีพนมยิม กับ พญาเสือ ศิษย์จ้าวสิงห์ทอง
เดียร์ชั่งได้ตามพิกัด 109 ปอนด์เต็ม ขณะที่พญาเสือชั่งได้ 108.8 ปอนด์ ขาดไป 0.2 ปอนด์
ความต่างด้านน้ำหนักแทบไม่มีนัยสำคัญ ทำให้ไฟต์นี้เป็นการวัดกันที่ฝีมือและแผนการชกเป็นหลัก
โดยตามธรรมเนียมของศึกจ้าวมวยไทย คู่ปิดรายการมักถูกจัดให้เป็นคู่ที่มีสไตล์การชกดุเดือด เพื่อส่งคนดูกลับบ้านพร้อมความประทับใจ
เดียร์ ศรีพนมยิม มีโอกาสเป็นมวยครบเครื่อง เน้นความมั่นคงของรูปมวย การยืนการ์ดแน่น และการสาดหมัด–แข้ง–เข่าอย่างมีระบบ
ส่วนพญาเสือ ศิษย์จ้าวสิงห์ทอง จากชื่อก็บ่งบอกถึงความดุดันและหัวใจนักสู้ที่พร้อมเข้าชนทุกคนบนเวที
หากเดียร์สามารถคุมเกมและใช้สไตล์มวยฝีมือสร้างความได้เปรียบในเรื่องคะแนนและจังหวะ เขาอาจสามารถปิดเกมชนะคะแนนได้
แต่ถ้าพญาเสือสามารถลากเกมให้กลายเป็นเกมปะทะแบบชนแลกและกดดันเดียร์ให้เสียสมาธิได้บ่อยครั้ง ไฟต์นี้ในศึกจ้าวมวยไทย ก็อาจพลิกผันได้ทุกช่วงเวลา
ผลชั่งน้ำหนักและผลกระทบต่อรูปมวยในศึกจ้าวมวยไทย
เมื่อวิเคราะห์จากผลการชั่งน้ำหนักของทุกคู่ในศึกจ้าวมวยไทย สัปดาห์นี้ จะเห็นว่าความแตกต่างของน้ำหนักจริงระหว่างนักมวยแต่ละฝั่งค่อนข้างน้อย
ส่วนใหญ่ขาดหรือเกินไม่เกิน 0.6 ปอนด์ เช่น เพชรก้องฟ้าที่ขาด 0.2 ปอนด์เมื่อเจอกับสิงห์ชนะที่ชั่งเต็มพิกัด
หรือพันเอกที่ลด 0.2 เทียบกับยอดเพชรเอกที่ลด 0.6 ปอนด์ เป็นต้น
ตัวเลขเหล่านี้ไม่ถึงกับทำให้รูปทรงร่างกายต่างกันมาก แต่มีผลในเชิงสมดุลระหว่างความสด ความคล่องตัว และความแน่นของพละกำลัง
ซึ่งเซียนมวยที่ตามดูศึกจ้าวมวยไทย เป็นประจำมักใช้ประกอบการประเมินก่อนตัดสินใจเชียร์หรือเล่นมวย
โดยทั่วไปแล้ว การขาดน้ำหนักเล็กน้อย เช่น 0.2–0.4 ปอนด์ มักช่วยให้นักมวยเคลื่อนไหวได้คล่องตัวขึ้นและรู้สึกตัวเบา
ในขณะที่ผู้ที่ชั่งได้ตามพิกัดเป๊ะจะมีความได้เปรียบด้านแรงปะทะเมื่อต้องชนกันตรง ๆ แต่ก็อาจรู้สึกตัวตึงกว่าบ้าง
ส่วนกรณีที่ต้อง “ลดน้ำหนัก” อย่างยอดเพชรเอกที่ลด 0.6 ปอนด์ ก็อาจมีผลให้ร่างกายเสียพลังงานไปกับการเค้นน้ำหนักก่อนถึงวันชก
แต่เมื่อเทียบกับบัตรอื่น ๆ จะเห็นว่าศึกจ้าวมวยไทย ชุดนี้อยู่ในเกณฑ์สมดุลที่ดี ไม่มีใครต้องลดหนักถึงขั้น 1–2 ปอนด์ ทำให้มั่นใจได้ว่าเกมบนเวทีจะวัดกันที่ฝีมือจริง ๆ มากกว่าเรื่องการรีดน้ำหนัก
ค่ายมวยและสังกัดที่ร่วมสร้างความมันส์ในศึกจ้าวมวยไทย
จุดเด่นที่ทำให้ศึกจ้าวมวยไทย ยืนระยะความนิยมบนจอทีวีมาได้อย่างยาวนาน ส่วนหนึ่งมาจากการร่วมมือของค่ายมวยหลากหลายสังกัดที่พร้อมส่งนักมวยในสังกัดขึ้นพิสูจน์ฝีมืออย่างต่อเนื่อง
ในบัตรนี้เราจะเห็นชื่อค่ายที่แฟนมวยรู้จักดีจำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็น วันของโอม.WKO ที่ส่งเพชรก้องฟ้าลงชกในคู่แรก
ค่าย พี.เค.แสนชัยมวยไทยยิม ที่ส่งพันเอกขึ้นวัดกับยอดเพชรเอกจาก บูมเด็กเซียน
หรือค่ายอย่างเกียรติเจริญชัย เกียรติเพชรเดชะ อีเกิ้ลมวยไทย ศรีพนมยิม และ ศิษย์จ้าวสิงห์ทอง ซึ่งล้วนแล้วแต่มีประวัติการสร้างนักมวยคุณภาพมาอย่างต่อเนื่อง
การที่ค่ายเหล่านี้เลือกใช้ศึกจ้าวมวยไทย เป็นเวทีให้เด็กในสังกัดได้ขึ้นโชว์ฟอร์ม สะท้อนว่ารายการนี้มีมาตรฐานและได้รับความเชื่อถือในสายตาของผู้ฝึกสอนและหัวหน้าค่าย
เพราะนอกจากจะเป็นเวทีที่มีคนดูจำนวนมากแล้ว ยังเป็นเวทีที่สไตล์มวยไทยแท้ ๆ ได้ถูกถ่ายทอดให้แฟนมวยทั่วประเทศและต่างชาติที่ติดตามผ่านสื่อออนไลน์
ในระยะยาว ศึกจ้าวมวยไทย จึงมีบทบาทสำคัญในการปั้นทั้งมวยดาวรุ่งและการรักษาภาพลักษณ์ของมวยไทยในฐานะศิลปะการต่อสู้ระดับชาติควบคู่กันไป
สรุปไฮไลต์และความน่าติดตามของศึกจ้าวมวยไทย 29 พฤศจิกายน 2568
โดยสรุปแล้ว ศึกจ้าวมวยไทย วันเสาร์ที่ 29 พฤศจิกายน 2568 ณ เวทีสยามอ้อมน้อย ถือเป็นอีกหนึ่งบัตรมวยที่มีความน่าสนใจครบทุกด้าน ทั้งในเชิงโปรแกรม พิกัด และคุณภาพของค่ายที่ส่งนักมวยเข้าร่วม
ตั้งแต่คู่เปิดหัวอย่างเพชรก้องฟ้า vs สิงห์ชนะ ที่เป็นการวัดกันระหว่างความคล่องตัวกับความแน่นของร่างกาย
คู่ที่สองอย่างพันเอก vs ยอดเพชรเอก ที่เป็นการชนกันของสองสายสร้างจากค่ายใหญ่และค่ายดัง
รวมถึงคู่กลางอย่างจ้าวอินทรีย์ vs ซันเดย์ คู่รองอย่างดำทมิฬ vs เพชรช่อฟ้า และคู่ปิดท้ายอย่างเดียร์ vs พญาเสือ
ทุกคู่ในศึกจ้าวมวยไทย ชุดนี้มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่พร้อมจะมอบความมันส์ให้แฟนมวยเต็มสตีม
สำหรับแฟนมวยที่รักมวยไทยในสไตล์ดั้งเดิมที่เน้นการแลกอาวุธครบทุกแขนง ศึกจ้าวมวยไทย ยังคงเป็นหนึ่งในรายการที่ควรติดตามอย่างสม่ำเสมอ
ขณะที่ผู้ที่สนใจศึกษาและวิเคราะห์เกมการชก ก็สามารถใช้ข้อมูลจากตารางโปรแกรมและการวิเคราะห์คู่ชกในบทความนี้
เป็นเครื่องมือช่วยให้การชมมวยสนุกยิ่งขึ้นและเข้าใจมิติของการเปรียบมวยสมัยใหม่มากขึ้น
ไม่ว่าจะเชียร์ใครหรือเล่นมวยหรือไม่ก็ตาม ศึกจ้าวมวยไทย วันเสาร์นี้ก็เป็นอีกหนึ่งเวทีที่สะท้อนให้เห็นว่าวงการมวยไทยยังคงเติบโตและมีเสน่ห์ไม่เคยเปลี่ยน
