ศึกมวยไทย 7 สี ในวันอาทิตย์ที่ 23 พฤศจิกายน 2568 ถือเป็นอีกหนึ่งรายการมวยทีวีประจำสัปดาห์ที่แฟนมวยทั่วประเทศจับตามองอย่างใกล้ชิด ด้วยเอกลักษณ์ของรายการที่คัดเลือกแต่มวยมันส์ มวยเดินแลก และคู่ชกที่มีฟอร์มใกล้เคียงกัน เพื่อให้การถ่ายทอดสดช่วงบ่ายวันอาทิตย์เต็มไปด้วยความตื่นเต้นตลอดทั้งรายการ โดยศึกมวยไทย 7 สี ครั้งนี้จัดขึ้นที่เวทีมวยช่อง 7 สี เริ่มชกตั้งแต่เวลา 14.30 น. พร้อมโปรแกรมมวยทั้งหมด 6 คู่ ครอบคลุมพิกัดตั้งแต่ 106 ปอนด์ไปจนถึง 123 ปอนด์อย่างครบถ้วน
ภาพรวมศึกมวยไทย 7 สี วันอาทิตย์ที่ 23 พฤศจิกายน 2568
สำหรับภาพรวมของศึกมวยไทย 7 สี ในวันอาทิตย์ที่ 23 พฤศจิกายน 2568 นี้ ถือว่าจัดออกมาได้ลงตัวทั้งด้านจำนวนคู่ชกและพิกัดน้ำหนัก รายการเริ่มชกตั้งแต่เวลา 14.30 น. เหมาะกับแฟนมวยที่ต้องการใช้เวลาช่วงบ่ายวันหยุดในการติดตามศิลปะแม่ไม้มวยไทยบนจอโทรทัศน์ เวทีมวยช่อง 7 สี ยังคงเป็นสังเวียนหลักที่เต็มไปด้วยบรรยากาศการเชียร์อันคึกคักจากผู้ชมในสตูดิโอ ซึ่งผสมผสานกับเสียงเชียร์จากแฟนมวยทางบ้าน กลายเป็นเสน่ห์ของศึกมวยไทย 7 สี ที่ไม่เสื่อมคลายเลยตลอดหลายปีที่ผ่านมา
ในบัตรมวยครั้งนี้ ศึกมวยไทย 7 สี ขนทัพนักชกจากหลากหลายค่ายดังมาประชันฝีมือกันถึง 6 คู่ ไล่ตั้งแต่พิกัด 109 ปอนด์ในคู่เปิดหัว ไปจนถึงพิกัด 115 และ 118 ปอนด์ในคู่รองและคู่ใหญ่ พร้อมทั้งยังมีคู่พิกัด 123 ปอนด์ที่ถือเป็นน้ำหนักกลางค่อนไปใหญ่ซึ่งแฟนมวยมักชื่นชอบเป็นพิเศษเพราะเป็นพิกัดที่ทั้งแรงปะทะและความเร็วยังคงอยู่ครบ จึงกล่าวได้ว่ารายการศึกมวยไทย 7 สี รอบนี้พร้อมเสิร์ฟความมันส์ครบทุกรสชาติให้ทั้งผู้ชมสายวิเคราะห์และสายเชียร์แบบมันส์ ๆ ได้ลุ้นกันอย่างเต็มอิ่ม
ตารางการแข่งขัน ศึกมวยไทย 7 สี เวทีมวยช่อง 7 สี
เพื่อให้แฟนมวยเห็นภาพรวมของโปรแกรมการชกในศึกมวยไทย 7 สี วันอาทิตย์ที่ 23 พฤศจิกายน 2568 อย่างชัดเจน ตารางต่อไปนี้จะสรุปรายละเอียดสำคัญของแต่ละคู่ ตั้งแต่นักมวยมุมแดง มุมน้ำเงิน พิกัดการชก หน่วยน้ำหนัก ไปจนถึงผลการชั่งน้ำหนักว่าขาดหรือต้องลดเท่าไร ข้อมูลเหล่านี้ไม่เพียงช่วยให้แฟนมวยจัดลำดับคู่ที่อยากชมเป็นพิเศษเท่านั้น แต่ยังเป็นฐานข้อมูลสำคัญสำหรับการวิเคราะห์รูปมวยและประเมินความได้เปรียบเสียเปรียบในศึกมวยไทย 7 สี รอบนี้อีกด้วย
| คู่ที่ | มุมแดง | พิกัด (ปอนด์) | ชั่งได้ | มุมน้ำเงิน | พิกัด (ปอนด์) | ชั่งได้ | หมายเหตุ |
|---|---|---|---|---|---|---|---|
| 1 | ฟิวส์ ผดุงชัยมวยไทย | 109.0 | ขาด 0.2 ปอนด์ | ตำนานสยาม พุ่มพันธุ์ม่วง | 109.0 | ลด 0.6 ปอนด์ | คู่เปิดหัว เกมเร็ว พิกัดใกล้เคียง |
| 2 | ปูติน ส.เทียนโพธิ์ | 117.0 | ลด 0.4 ปอนด์ | ไทยแลนด์ ส.รุ่งศักดิ์ | 117.0 | ขาด 0.4 ปอนด์ | คู่รองบ่อน พิกัด 117 ปอนด์ |
| 3 | โปเย แอ๊ดสันป่าตอง | 123.0 | ขาด 0.2 ปอนด์ | หยกคีรี ที.เอ็น.มวยไทย | 123.0 | ตามพิกัด | คู่พิกัด 123 ปอนด์ เกมหนักแน่น |
| 4 | เพชรสังวาลย์ ส.สมานการ์เม้นท์ | 118.0 | ลด 1.6 ปอนด์ | เพชรหนึ่ง เพชรมวยไทยยิม | 118.0 | ขาด 0.4 ปอนด์ | ต่างกันที่การเค้นน้ำหนัก |
| 5 | เพชรรุ่งโรจน์ ผดุงชัยมวยไทยยิม | 106.0 | ขาด 0.2 ปอนด์ | ชนะศึก เล็กนครศรี | 106.0 | ขาด 0.8 ปอนด์ | มวยเล็กเกมเร็วจัดจ้าน |
| 6 | เพชรรุ่งโรจน์ ส.แสงชัย | 115.0 | ขาด 0.4 ปอนด์ | สิงหราช ศิษย์อันดามันเสือแบ็ลคมวยไทย | 115.0 | ลด 0.6 ปอนด์ | คู่ปิดท้ายศึกมวยไทย 7 สี |
เมื่อพิจารณาจากตารางการแข่งขันจะเห็นว่าศึกมวยไทย 7 สี ครั้งนี้มีรายละเอียดด้านน้ำหนักที่น่าสนใจหลายคู่ มีทั้งนักมวยที่ชั่งได้ขาดเล็กน้อยซึ่งแสดงถึงความไม่ตึงน้ำหนักและความคล่องตัว ตลอดจนนักมวยที่ต้องลดน้ำหนักมากกว่า 0.5–1.6 ปอนด์ก่อนชั่ง ซึ่งอาจมีผลต่อสภาพร่างกายในช่วงปลายยก โดยเฉพาะในไฟต์ที่ต้องปะทะกันอย่างหนัก ปัจจัยเหล่านี้กลายเป็นองค์ประกอบสำคัญที่แฟนมวยต้องนำไปคิดต่อเมื่อวิเคราะห์รูปมวยในศึกมวยไทย 7 สี แต่ละคู่
วิเคราะห์คู่มวย ศึกมวยไทย 7 สี 23 พฤศจิกายน 2568
การวิเคราะห์คู่มวยถือเป็นหัวใจของการติดตามศึกมวยไทย 7 สี เพราะช่วยให้แฟนมวยมองเห็นภาพล่วงหน้าว่าเกมการชกอาจออกมาในรูปแบบใด ไม่ว่าจะเป็นการดูจากพิกัดน้ำหนัก ผลการชั่งว่าลดหรือขาด สไตล์การชกของแต่ละฝ่าย และค่ายต้นสังกัดที่อยู่เบื้องหลังการฝึกซ้อม เมื่อข้อมูลทั้งหมดถูกนำมาประกอบกันอย่างมีเหตุผล ก็จะทำให้แฟนมวยเพลิดเพลินกับศึกมวยไทย 7 สี ได้มากยิ่งขึ้น ทั้งในมุมของการเชียร์และการวิเคราะห์แนวโน้มผลการชกในแต่ละไฟต์
คู่ที่ 1 ฟิวส์ ผดุงชัยมวยไทย vs ตำนานสยาม พุ่มพันธุ์ม่วง (พิกัด 109 ปอนด์)
คู่เปิดหัวของศึกมวยไทย 7 สี เป็นการดวลกันในพิกัด 109 ปอนด์ระหว่าง ฟิวส์ ผดุงชัยมวยไทย ในมุมแดง และ ตำนานสยาม พุ่มพันธุ์ม่วง ในมุมน้ำเงิน โดยฟิวส์ชั่งได้ขาด 0.2 ปอนด์ ส่วนตำนานสยามต้องลดน้ำหนักถึง 0.6 ปอนด์ก่อนผ่านพิกัด สถานการณ์นี้ทำให้คาดการณ์ได้ว่าฟิวส์อาจมีความสบายตัวและคล่องแคล่วมากกว่าเล็กน้อย ในขณะที่ตำนานสยามอาจต้องพิถีพิถันเรื่องการฟื้นตัวหลังการลดน้ำหนักเพื่อลงสังเวียนในศึกมวยไทย 7 สี ให้พร้อมที่สุด
เชิงมวยโดยภาพรวม ฟิวส์จากค่ายผดุงชัยมวยไทยมักเน้นความขยันเดินเข้าหา ออกแข้งและหมัดเป็นชุดสร้างแรงกดดันให้คู่ต่อสู้ ส่วนตำนานสยาม พุ่มพันธุ์ม่วง เป็นมวยที่มีชื่อเรื่องความแข็งแกร่งและลูกเก็บคะแนนที่แม่นยำทั้งแข้งและศอก เกมในศึกมวยไทย 7 สี คู่นี้จึงมีแนวโน้มจะเป็นไฟต์เปิดหัวที่เดินใส่กันตั้งแต่ต้น หากฟิวส์ใช้ความคล่องตัวสร้างความได้เปรียบตั้งแต่ต้นยกได้สำเร็จ ตำนานสยามก็ต้องใช้ประสบการณ์และจังหวะโต้กลับที่เฉียบคมเพื่อพลิกสถานการณ์ให้กลับมาอยู่ในมือของตนเองให้ได้
คู่ที่ 2 ปูติน ส.เทียนโพธิ์ vs ไทยแลนด์ ส.รุ่งศักดิ์ (พิกัด 117 ปอนด์)
คู่ที่สองของศึกมวยไทย 7 สี เป็นการดวลในพิกัด 117 ปอนด์ระหว่าง ปูติน ส.เทียนโพธิ์ ฝั่งมุมแดง ซึ่งต้องลดน้ำหนัก 0.4 ปอนด์ กับ ไทยแลนด์ ส.รุ่งศักดิ์ ฝั่งมุมน้ำเงินที่ชั่งได้ขาด 0.4 ปอนด์ ข้อแตกต่างของทั้งสองคือฝ่ายหนึ่งมาจากการเค้นน้ำหนักลง ขณะที่อีกฝ่ายมีค่าชั่งต่ำกว่าพิกัดเล็กน้อย ซึ่งอาจสะท้อนถึงความต่างด้านความสดของร่างกายที่อาจเอนเอียงไปทางไทยแลนด์เล็กน้อยในช่วงท้ายของเกมในศึกมวยไทย 7 สี ไฟต์นี้
ในด้านสไตล์การชก ปูติน ส.เทียนโพธิ์ มักถูกมองว่าเป็นมวยแข็งแกร่งที่กล้าแลกกล้าชน พร้อมเดินหน้าเปิดเกมรุกไม่เกรงกลัวการปะทะ ส่วนไทยแลนด์ ส.รุ่งศักดิ์ อาจได้เปรียบในด้านเชิงมวยและการออกอาวุธที่หลากหลาย โดยเฉพาะเมื่อร่างกายสดและไม่ถูกกดน้ำหนักมากนักช หากศึกมวยไทย 7 สี คู่นี้กลายเป็นเกมที่ต้องยืดเยื้อครบยก ใครสามารถรักษาความนิ่งและแรงปลายไว้ได้ย่อมมีโอกาสคว้าชัยเหนืออีกฝ่ายไปได้แบบฉิวเฉียด
คู่ที่ 3 โปเย แอ๊ดสันป่าตอง vs หยกคีรี ที.เอ็น.มวยไทย (พิกัด 123 ปอนด์)
คู่ที่สามของศึกมวยไทย 7 สี เป็นการพบกันในพิกัด 123 ปอนด์ระหว่าง โปเย แอ๊ดสันป่าตอง ที่ชั่งได้ขาด 0.2 ปอนด์ และ หยกคีรี ที.เอ็น.มวยไทย ที่ชั่งได้ตามพิกัดแบบเป๊ะ ๆ พิกัด 123 ปอนด์ถือเป็นรุ่นที่ผสมผสานทั้งความเร็วและแรงปะทะได้อย่างลงตัว ทำให้แฟนมวยมักคาดหวังว่าจะได้เห็นการชกที่เตรียมอาวุธมาครบมือทั้งหมัด เข่า และศอก ในศึกมวยไทย 7 สี ไฟต์นี้จึงน่าจะกลายเป็นอีกหนึ่งคู่สำคัญที่ช่วยยกระดับความเข้มข้นของรายการให้เดือดขึ้นเรื่อย ๆ
โปเย แอ๊ดสันป่าตอง อาจมีจุดเด่นในเรื่องการเดินเข้าหาและใช้ความแข็งแกร่งเข้าบดบังเกมของคู่ต่อสู้ ขณะที่หยกคีรีจากค่ายที.เอ็น.มวยไทย มักเป็นมวยที่มีระเบียบการยืนการ์ดดีและมีลูกเตะต่อยที่ชัดเจน เกมในศึกมวยไทย 7 สี คู่นี้จึงอยู่ที่ว่าใครจะสามารถบังคับให้เกมไหลไปตามสไตล์ของตัวเองได้ก่อน หากโปเยสามารถลากเกมให้กลายเป็นการบู๊แลกหนัก หยกคีรีก็ต้องใช้แท็กติกและจังหวะโต้กลับมาช่วยประคองเกมให้ได้เปรีย ในสายตากรรมการ
คู่ที่ 4 เพชรสังวาลย์ ส.สมานการ์เม้นท์ vs เพชรหนึ่ง เพชรมวยไทยยิม (พิกัด 118 ปอนด์)
คู่ที่สี่ของศึกมวยไทย 7 สี ในพิกัด 118 ปอนด์ มีจุดเด่นที่ผลการชั่งน้ำหนักของนักมวยทั้งสองฝั่งอย่างชัดเจน เพชรสังวาลย์ ส.สมานการ์เม้นท์ ฝั่งมุมแดงต้องลดน้ำหนักมากถึง 1.6 ปอนด์เพื่อให้ผ่านพิกัด ขณะที่เพชรหนึ่ง เพชรมวยไทยยิม ฝั่งน้ำเงินชั่งได้ขาด 0.4 ปอนด์ ความแตกต่างด้านการเค้นน้ำหนักระดับนี้มักส่งผลอย่างมีนัยสำคัญต่อแรงปลายในช่วงยกท้าย ๆ โดยเฉพาะเมื่อเกมในศึกมวยไทย 7 สี คู่นี้ต้องยืนระยะกันแบบแลกกันเหนื่อยทั้งห้ายก
เชิงมวย เพชรสังวาลย์ถูกคาดหมายว่าจะเป็นมวยที่มีลูกบู๊เดินบี้และอาวุธหนักแน่น หากร่างกายฟื้นตัวจากการลดน้ำหนักได้ดี เขาอาจใช้ความดุดันสร้างความกดดันแก่เพชรหนึ่งได้ตั้งแต่ต้นยก ส่วนเพชรหนึ่ง เพชรมวยไทยยิม ที่ชั่งขาดเล็กน้อยน่าจะได้เปรียบด้านความสดและการยืนระยะยาว หากสามารถทนแรงบุกช่วงต้นของเพชรสังวาลย์ได้ เกมในศึกมวยไทย 7 สี คู่นี้อาจพลิกไปเป็นของเพชรหนึ่งในช่วงยกกลางถึงยกปลายที่ความฟิตและแรงปลายเข้ามามีบทบาทสำคัญในการตัดสินผลแพ้ชนะ
คู่ที่ 5 เพชรรุ่งโรจน์ ผดุงชัยมวยไทยยิม vs ชนะศึก เล็กนครศรี (พิกัด 106 ปอนด์)
คู่ที่ห้าในศึกมวยไทย 7 สี เป็นการปะทะกันในพิกัด 106 ปอนด์ระหว่าง เพชรรุ่งโรจน์ ผดุงชัยมวยไทยยิม ที่ชั่งได้ขาด 0.2 ปอนด์ และ ชนะศึก เล็กนครศรี ที่ชั่งได้ขาด 0.8 ปอนด์ ทั้งสองต่างอยู่ในสถานะที่ไม่ตึงน้ำหนักมากนัก ทำให้คาดการณ์ได้ว่าในยกแรกถึงยกกลางจะเป็นไฟต์ที่มีความเร็วสูง ออกอาวุธได้อย่างคล่องตัว พิกัด 106 ปอนด์เองก็เป็นพิกัดมวยเล็กที่แฟนมวยชื่นชอบเพราะมักได้เห็นการชกแบบไม่มีออมแรงในศึกมวยไทย 7 สี อยู่เสมอ
เพชรรุ่งโรจน์จากผดุงชัยมวยไทยยิม มีแนวโน้มจะเป็นมวยที่เดินเข้าหาและพยายามใช้จังหวะบวกหมัดสลับแข้งเพื่อเก็บแต้ม ขณะที่ชนะศึก เล็กนครศรี อาจมีจุดเด่นด้านการเคลื่อนที่และการดักจังหวะโต้ตอบ ในไฟต์นี้ของศึกมวยไทย 7 สี หากเพชรรุ่งโรจน์สามารถกดดันให้ชนะศึกไม่มีพื้นที่เล่นเชิงได้มากพอ ก็อาจเก็บคะแนนสะสมไปเรื่อย ๆ แต่หากชนะศึกเลือกใช้ความคล่องตัวและมือไวคอยปัดป้องแล้วโต้กลับอย่างมีประสิทธิภาพ ผลลัพธ์บนสกอร์บอร์ดก็อาจออกมาแบบใกล้เคียงจนต้องลุ้นถึงยันเสียงระฆังสุดท้าย
คู่ที่ 6 เพชรรุ่งโรจน์ ส.แสงชัย vs สิงหราช ศิษย์อันดามันเสือแบ็ลคมวยไทย (พิกัด 115 ปอนด์)
คู่สุดท้ายของศึกมวยไทย 7 สี ในวันอาทิตย์นี้ เป็นการชกในพิกัด 115 ปอนด์ระหว่าง เพชรรุ่งโรจน์ ส.แสงชัย ที่ชั่งได้ขาด 0.4 ปอนด์ กับ สิงหราช ศิษย์อันดามันเสือแบ็ลคมวยไทย ที่ต้องลดน้ำหนัก 0.6 ปอนด์ ความแตกต่างเรื่องการลดและขาดน้ำหนักในระดับนี้แม้จะไม่มากเท่าคู่ใหญ่ แต่ก็ยังพอสะท้อนว่าฝ่ายที่ขาดอาจมีความสบายตัวมากกว่าเล็กน้อย โดยเฉพาะในไฟต์ที่ต้องเดินแลกแข้งแลกหมัดกันตลอด การฟื้นตัวจากการลดน้ำหนักสำหรับสิงหราชจึงเป็นโจทย์สำคัญก่อนขึ้นสังเวียนศึกมวยไทย 7 สี คู่นี้
เพชรรุ่งโรจน์ ส.แสงชัย ถูกมองว่าเป็นนักมวยที่ครบเครื่องในระดับหนึ่ง มีทั้งลูกเตะ ลูกต่อย และเกมวงในที่สามารถใช้บี้คู่ต่อสู้ได้เมื่อมีโอกาส ในขณะที่สิงหราช ศิษย์อันดามันเสือแบ็ลคมวยไทย มักมีสไตล์ดุดันสมชื่อ พร้อมเดินเข้าชนและไม่กลัวการปะทะหนัก ศึกมวยไทย 7 สี คู่นี้จึงมีโอกาสสูงที่จะจบลงด้วยการยืนแลกกันชนิดไม่มีใครยอมใคร หากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งหลุดโฟกัสหรือโดนอาวุธหนักเข้าเต็ม ๆ เพียงครั้งเดียว รูปมวยก็อาจเปลี่ยนไปแบบพลิกฝ่ามือทันที
เจาะลึกผลชั่งน้ำหนักและผลต่อเกม ศึกมวยไทย 7 สี
เมื่อลองมองภาพรวมผลการชั่งน้ำหนักของบรรดานักมวยในศึกมวยไทย 7 สี ครั้งนี้ จะเห็นว่ามีทั้งนักมวยที่ชั่งได้ขาดเล็กน้อยและนักมวยที่ต้องลดน้ำหนักมากกว่าครึ่งปอนด์ไปจนถึง 1.6 ปอนด์ กรณีอย่างเพชรสังวาลย์ที่ต้องลดถึง 1.6 ปอนด์ ย่อมทำให้แฟนมวยตั้งคำถามว่าความฟิตและแรงปลายในยกท้าย ๆ จะได้รับผลกระทบหรือไม่ ขณะที่นักมวยอย่างฟิวส์ เพชรรุ่งโรจน์ หรือไทยแลนด์ ที่ชั่งได้ขาดเล็กน้อยอาจมีข้อได้เปรียบด้านความคล่องตัวและการฟื้นร่างกายก่อนขึ้นสังเวียนศึกมวยไทย 7 สี ได้ดีกว่า
ในแง่วิทยาศาสตร์การกีฬา การลดน้ำหนักอย่างเร่งด่วนในช่วงก่อนชั่งมักส่งผลต่อสมดุลของน้ำในร่างกายและพลังงานสำรองของกล้ามเนื้อ หากนักมวยและทีมงานไม่สามารถจัดการเรื่องการคืนสภาพร่างกายหลังชั่งได้ดีพอ ก็อาจเห็นอาการแผ่วในช่วงยกที่สี่หรือห้าอย่างชัดเจน แฟนมวยที่ติดตามศึกมวยไทย 7 สี อย่างจริงจังจึงควรใช้ข้อมูลผลการชั่งน้ำหนักเป็นหนึ่งในปัจจัยประกอบการวิเคราะห์ นอกเหนือจากการดูฟอร์มย้อนหลังและสไตล์การชก เพราะในไฟต์ที่นักมวยฝีมือใกล้เคียงกัน เรื่องน้ำหนักและการฟื้นตัวอาจกลายเป็นตัวแปรชี้ขาดผลแพ้ชนะได้เลยทีเดียว
แนะนำค่ายมวยและสังกัดของนักมวยในศึกมวยไทย 7 สี
เสน่ห์อีกอย่างหนึ่งของศึกมวยไทย 7 สี คือการที่รายการดึงเอานักมวยจากค่ายต่าง ๆ ทั่วประเทศเข้ามาวัดฝีมือบนเวทีเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็นค่ายผดุงชัยมวยไทย ผดุงชัยมวยไทยยิม พุ่มพันธุ์ม่วง ส.เทียนโพธิ์ ส.รุ่งศักดิ์ แอ๊ดสันป่าตอง ที.เอ็น.มวยไทย ส.สมานการ์เม้นท์ เพชรมวยไทยยิม เล็กนครศรี ส.แสงชัย หรือ ศิษย์อันดามันเสือแบ็ลคมวยไทย ทั้งหมดล้วนมีประวัติการสร้างนักมวยขึ้นสู่รายการทีวีคุณภาพอย่างศึกมวยไทย 7 สี มาแล้วหลายครั้ง จึงทำให้แฟนมวยคุ้นหูกับชื่อค่ายเหล่านี้เป็นอย่างดีเมื่อเห็นปรากฏในโปรแกรมการแข่งขัน
ผดุงชัยมวยไทย และผดุงชัยมวยไทยยิม
ค่ายผดุงชัยมวยไทยและผดุงชัยมวยไทยยิมมีบทบาทอย่างมากในศึกมวยไทย 7 สี รอบนี้ เพราะส่งนักชกลงแข่งขันถึงสองรายคือ ฟิวส์ ในคู่เปิดหัว และเพชรรุ่งโรจน์ ในคู่ที่ห้า สองนักมวยจากค่ายเดียวกันแต่ลงชกคนละพิกัด แสดงให้เห็นถึงความต่อเนื่องในการสร้างนักชกหลายรุ่นของผดุงชัยมวยไทย ค่ายนี้มักถูกมองว่าเน้นการฝึกซ้อมอย่างมีวินัยและให้ความสำคัญกับฟิตเนสและความพร้อมทางกายเป็นพิเศษ ทำให้เมื่อนักมวยสังกัดนี้ลงชกในศึกมวยไทย 7 สี แฟนมวยมักคาดหวังฟอร์มการชกที่เต็มร้อยอยู่เสมอ
พุ่มพันธุ์ม่วง ส.เทียนโพธิ์ และ ส.รุ่งศักดิ์
ฝั่งคู่ต้น ๆ ของศึกมวยไทย 7 สี อย่างตำนานสยาม พุ่มพันธุ์ม่วง ปูติน ส.เทียนโพธิ์ และไทยแลนด์ ส.รุ่งศักดิ์ ต่างเป็นตัวแทนของค่ายที่มีชื่อเสียงในวงการมวยไทยระดับประเทศมาอย่างยาวนาน พุ่มพันธุ์ม่วงขึ้นชื่อเรื่องสไตล์มวยบู๊ใจสู้ ส.เทียนโพธิ์เป็นสายสร้างมวยที่เน้นความฟิตและจังหวะหนักแน่น ส่วนส.รุ่งศักดิ์เองก็มีพื้นฐานการปั้นมวยฝีมือที่ค่อนข้างน่าจับตามอง เมื่อค่ายเหล่านี้นำลูกทีมของตนเองมาลงสังเวียนในศึกมวยไทย 7 สี จึงช่วยเติมเต็มความเข้มข้นของรายการให้หลากหลายทั้งเชิงบู๊และเชิงเทคนิค
แอ๊ดสันป่าตอง ที.เอ็น.มวยไทย ส.สมานการ์เม้นท์ และเพชรมวยไทยยิม
โปเยจากแอ๊ดสันป่าตอง หยกคีรีจากที.เอ็น.มวยไทย เพชรสังวาลย์จากส.สมานการ์เม้นท์ และเพชรหนึ่งจากเพชรมวยไทยยิม ต่างเป็นตัวแทนของค่ายที่มีพื้นเพและสไตล์การปั้นมวยแตกต่างกันไป ทั้งสายมวยภาคใต้ มวยเมือง และมวยจากโรงเรียนมวยแบบมีระบบ การได้เห็นนักชกจากสังกัดเหล่านี้มาปะทะกันในศึกมวยไทย 7 สี ทำให้แฟนมวยได้เห็นการเปรียบเทียบชัดเจนว่าแต่ละค่ายวางพื้นฐานนักมวยอย่างไร ตั้งแต่เกมรุก เกมรับ ไปจนถึงการบริหารแรงในแต่ละยก ซึ่งล้วนแต่เป็นสีสันสำคัญของวงการมวยไทยสมัยใหม่
เล็กนครศรี ส.แสงชัย และศิษย์อันดามันเสือแบ็ลคมวยไทย
ด้านชนะศึก เล็กนครศรี เพชรรุ่งโรจน์ ส.แสงชัย และสิงหราช ศิษย์อันดามันเสือแบ็ลคมวยไทย ก็เป็นตัวแทนจากค่ายที่ขึ้นชื่อเรื่องการสร้างมวยสายบู๊ใจสู้ ไม่ว่าจะเป็นค่ายพื้นถิ่นภาคใต้หรือค่ายที่มีพื้นฐานจากจังหวัดชายฝั่งอันดามัน ค่ายเหล่านี้มีจุดร่วมคือการปลูกฝังให้นักมวยมีใจสู้ ไม่กลัวเจ็บ พร้อมเดินเข้าแลกเมื่อถึงเวลา ทำให้เมื่อขึ้นเวทีในศึกมวยไทย 7 สี แฟนมวยมักได้รับชมไฟต์ที่เต็มไปด้วยแรงปะทะและความตื่นเต้นอยู่เสมอ
ข้อมูลสำคัญสำหรับแฟนมวยที่ต้องการติดตามศึกมวยไทย 7 สี
สำหรับแฟนมวยที่ต้องการติดตามศึกมวยไทย 7 สี ให้เต็มอิ่ม ควรรู้เวลาเริ่มแข่งขันของรายการในวันอาทิตย์ที่ 23 พฤศจิกายน 2568 ให้ชัดเจน โดยรายการเริ่มถ่ายทอดสดตั้งแต่เวลา 14.30 น. เป็นต้นไป และจะมีคู่มวยต่อเนื่องรวมทั้งหมด 6 ไฟต์ การเตรียมตัวล่วงหน้า เช่น จดโปรแกรมแต่ละคู่ไว้คร่าว ๆ หรือเลือกคู่ที่สนใจเป็นพิเศษ จะช่วยให้การรับชมสนุกยิ่งขึ้น เพราะสามารถจับจังหวะรูปมวยและสไตล์ของแต่ละค่ายได้อย่างมีอรรถรส
ส่วนผู้ที่สนใจเดินทางไปชมถึงเวทีมวยช่อง 7 สี จริง ๆ ก็อาจต้องติดตามเงื่อนไขการเข้าชมจากสถานีโทรทัศน์โดยตรง เนื่องจากสตูดิโอมีข้อจำกัดด้านพื้นที่และมาตรการต่าง ๆ อย่างไรก็ตาม แม้จะรับชมจากที่บ้าน ศึกมวยไทย 7 สี ก็ยังเป็นรายการที่มอบบรรยากาศเสมือนอยู่ข้างเวทีจริงด้วยเสียงเชียร์ แสง สี และการนำเสนอที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว หากเตรียมตัวให้พร้อมทั้งในด้านเวลาและข้อมูลพื้นฐานของแต่ละคู่ การรับชมรายการนี้ก็จะยิ่งได้รสชาติแบบแฟนมวยมืออาชีพมากขึ้น
สรุปไฮไลต์ศึกมวยไทย 7 สี 23 พฤศจิกายน 2568
เมื่อมองภาพรวมทั้งหมด ศึกมวยไทย 7 สี วันอาทิตย์ที่ 23 พฤศจิกายน 2568 ณ เวทีมวยช่อง 7 สี ถือเป็นรายการที่จัดโปรแกรมได้อย่างน่าติดตาม ทั้งด้านพิกัดน้ำหนักที่หลากหลาย การกระจายนักมวยจากหลายค่ายชื่อดัง และรายละเอียดด้านการชั่งน้ำหนักที่มีความแตกต่างให้แฟนมวยนำไปใช้วิเคราะห์ต่อ ตั้งแต่คู่เปิดหัวในพิกัด 109 ปอนด์ ไปจนถึงคู่ปิดท้ายในพิกัด 115 ปอนด์ ทุกไฟต์ล้วนมีองค์ประกอบที่สามารถสร้างสีสันให้กับการถ่ายทอดสดตลอดสองชั่วโมงของศึกมวยไทย 7 สี ครั้งนี้
คู่ที่น่าจับตามองเป็นพิเศษ ได้แก่ คู่ที่ 2 ระหว่างปูติน ส.เทียนโพธิ์ กับไทยแลนด์ ส.รุ่งศักดิ์ ซึ่งเป็นการเผชิญหน้าของมวยลดน้ำหนักกับมวยขาดพิกัด คู่ที่ 4 ระหว่างเพชรสังวาลย์ ส.สมานการ์เม้นท์ กับเพชรหนึ่ง เพชรมวยไทยยิม ที่ต่างกันชัดในเรื่องการเค้นน้ำหนัก และคู่ที่ 6 ระหว่างเพชรรุ่งโรจน์ ส.แสงชัย กับสิงหราช ศิษย์อันดามันเสือแบ็ลคมวยไทย ที่รับหน้าที่ปิดจบรายการ ทั้งหมดนี้ทำให้ศึกมวยไทย 7 สี วันอาทิตย์รอบนี้เป็นอีกหนึ่งบัตรมวยที่แฟนหมัดมวยไม่ควรพลาดติดตามทั้งเพื่อความบันเทิงและเพื่อศึกษาเชิงมวยไทยในมิติที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้น
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับศึกมวยไทย 7 สี (FAQ)
ศึกมวยไทย 7 สี วันอาทิตย์ที่ 23 พฤศจิกายน 2568 เริ่มชกกี่โมง?
ศึกมวยไทย 7 สี ในวันอาทิตย์ที่ 23 พฤศจิกายน 2568 มีกำหนดเริ่มทำการแข่งขันและถ่ายทอดสดตั้งแต่เวลา 14.30 น. เป็นต้นไป โดยภายในบัตรมีโปรแกรมมวยทั้งหมด 6 คู่ที่จัดเรียงต่อเนื่องกันอย่างคัดสรรมาแล้วว่าเหมาะสมสำหรับการถ่ายทอดในช่วงเวลาบ่ายวันอาทิตย์ แฟนมวยที่ต้องการชมครบทุกคู่จึงควรเตรียมตัวล่วงหน้าและอยู่หน้าจอให้ทันตั้งแต่ก่อนเริ่มศึกมวยไทย 7 สี เพื่อไม่ให้พลาดไฟต์สำคัญตั้งแต่คู่เปิดหัว
ศึกมวยไทย 7 สี จัดขึ้นที่ไหน?
ศึกมวยไทย 7 สี จัดขึ้นที่เวทีมวยช่อง 7 สี ซึ่งตั้งอยู่ภายในสตูดิโอของสถานีโทรทัศน์ช่อง 7 ในกรุงเทพมหานคร เวทีแห่งนี้เป็นสังเวียนที่แฟนมวยชาวไทยคุ้นเคยกันเป็นอย่างดีจากการถ่ายทอดสดต่อเนื่องมาหลายสิบปี ด้วยบรรยากาศการเชียร์ที่ใกล้ชิดกับนักชก การจัดแสงสีเสียงที่ลงตัว และมุมกล้องที่เห็นอาวุธอย่างชัดเจน ทำให้ศึกมวยไทย 7 สี กลายเป็นหนึ่งในรายการมวยทีวีที่สร้างแฟนประจำได้อย่างเหนียวแน่นไม่แพ้เวทีมวยใหญ่ใด ๆ
ศึกมวยไทย 7 สี วันนี้มีกี่คู่ และมีพิกัดอะไรบ้าง?
ในวันอาทิตย์ที่ 23 พฤศจิกายน 2568 ศึกมวยไทย 7 สี มีโปรแกรมการแข่งขันรวมทั้งหมด 6 คู่ ประกอบด้วยพิกัด 106 ปอนด์ 109 ปอนด์ 115 ปอนด์ 117 ปอนด์ 118 ปอนด์ และ 123 ปอนด์ กระจายอยู่ในแต่ละคู่ตามโครงสร้างของบัตรมวย การกระจายพิกัดแบบนี้ช่วยให้แฟนมวยได้ชมสไตล์การชกที่แตกต่างกันทั้งด้านความเร็วของมวยเล็ก ความหนักหน่วงของมวยพิกัดกลาง และแท็กติกของมวยฝีมือในศึกมวยไทย 7 สี รอบเดียวอย่างครบถ้วน
คู่ไหนในศึกมวยไทย 7 สี วันนี้น่าจับตามองเป็นพิเศษ?
หากพูดถึงคู่ที่น่าจับตามองในศึกมวยไทย 7 สี วันอาทิตย์ที่ 23 พฤศจิกายน 2568 หลายสายตามักมองไปที่คู่ที่ 2 ปูติน ส.เทียนโพธิ์ พบ ไทยแลนด์ ส.รุ่งศักดิ์ ในพิกัด 117 ปอนด์ ที่มีความแตกต่างด้านการชั่งลดและขาดน้ำหนักอย่างน่าสนใจ รวมถึงคู่ที่ 4 ระหว่างเพชรสังวาลย์ ส.สมานการ์เม้นท์ กับเพชรหนึ่ง เพชรมวยไทยยิม ในพิกัด 118 ปอนด์ ซึ่งมีประเด็นเรื่องการลดน้ำหนักมากของเพชรสังวาลย์ และคู่ปิดท้ายระหว่างเพชรรุ่งโรจน์ ส.แสงชัย กับสิงหราช ศิษย์อันดามันเสือแบ็ลคมวยไทย ในพิกัด 115 ปอนด์ ที่มีแนวโน้มสูงว่าจะจบลงด้วยเกมดุเดือดสมศักดิ์ศรีรายการศึกมวยไทย 7 สี อย่างแท้จริง
