ศึกวันแชมเปียนชิพลุมพินี 135 ในวันศุกร์ที่ 28 พฤศจิกายน 2568 ถือเป็นอีกหนึ่งค่ำคืนมวยไทยระดับอินเตอร์ที่แฟนมวยไทยและแฟนมวยทั่วโลกต่างจับตามองอย่างใกล้ชิด เพราะรายการนี้รวบรวมทั้งนักมวยไทยชั้นนำและนักสู้ต่างชาติจากหลายประเทศมาประชันฝีมือกันบนสังเวียนศักดิ์สิทธิ์อย่างสนามมวยเวทีลุมพินี โดยมวยเริ่มชกตั้งแต่เวลา 19.30 น. ไปจนถึงราว 20.30 น. แม้ช่วงเวลาการแข่งขันจะไม่ยาวมาก แต่โปรแกรมแน่นถึง 12 คู่ ทำให้ศึกวันแชมเปียนชิพลุมพินี 135 เต็มไปด้วยไฟต์ที่อัดแน่นด้วยคุณภาพ ความมันส์ และบรรยากาศแบบโปรโมชันระดับโลกอย่างแท้จริง

โปรแกรมมวย ศึกวันแชมเปียนชิพลุมพินี 135 วันที่ 28 พฤศจิกายน 2568 เวทีลุมพินี

ภาพรวมศึกวันแชมเปียนชิพลุมพินี 135 คืนวันศุกร์ที่เวทีลุมพินี

ศึกวันแชมเปียนชิพลุมพินี 135 เป็นรายการที่สะท้อนการยกระดับมวยไทยสู่สากลอย่างชัดเจน ทั้งในด้านการคัดเลือกนักสู้ต่างชาติที่ผ่านการฝึกในค่ายไทยมาอย่างเข้มข้น
และการดึงมวยไทยสายค่ายดังอย่าง พี.เค.แสนชัยมวยไทยยิม, เพชรมวยไทยยิม, ทีเด็ด99, ส.สมหมาย, แฟร์เท็กซ์ และ ส.เดชะพันธ์ เข้าร่วมแข่งในบัตรเดียวกัน
พิกัดส่วนใหญ่จะอยู่ในช่วง 110–155 ปอนด์ ซึ่งเป็นน้ำหนักยอดนิยมในเวทีระดับโลก ช่วยให้แฟนมวยได้เห็นทั้งความเร็ว ความแกร่ง และแรงปะทะอันดุเดือดสมชื่อศึกวันแชมเปียนชิพลุมพินี 135

ด้วยจำนวนไฟต์ทั้งหมด 12 คู่ในเวลาเพียงประมาณ 1 ชั่วโมง แสดงให้เห็นว่าทุกรายละเอียดของศึกวันแชมเปียนชิพลุมพินี 135 ถูกออกแบบมาอย่างรัดกุม
ไม่มีช่วงเนือยหรือคู่มวยที่จัดมาเพียงประคองรายการ ทุกคู่ล้วนมีความหมายต่อเส้นทางของนักสู้ทั้งไทยและต่างชาติ
ไม่ว่าจะเป็นไฟต์เปิดหัวของชายัน ออร์ซัค พบ อิมราน ซาติเอฟ ไปจนถึงคู่ใหญ่ท้ายบัตรอย่าง ศิลาชัย สจ.แดนระยอง ดวล โคจิโร ชิบะ
แต่ละไฟต์ล้วนสอดแทรกความน่าสนใจทั้งในมุมเชิงมวยและมุมการตลาดของมวยไทยยุคใหม่ที่กำลังเติบโตในเวทีระดับโลก

ตารางการแข่งขัน ศึกวันแชมเปียนชิพลุมพินี 135 สนามมวยเวทีลุมพินี

เพื่อให้แฟนมวยติดตามศึกวันแชมเปียนชิพลุมพินี 135 ได้อย่างครบถ้วน ตารางด้านล่างนี้ได้รวบรวมข้อมูลสำคัญของทุกคู่ชก
ทั้งชื่อคู่มวย พิกัด และผลการชั่งน้ำหนักจริง ว่านักมวยแต่ละคนชั่งตามพิกัดหรือขาดน้ำหนักเท่าไร
ข้อมูลเชิงโครงสร้างเหล่านี้ไม่เพียงช่วยให้เห็นภาพรวมรายการได้ชัดเจนยิ่งขึ้น แต่ยังเป็นพื้นฐานสำคัญสำหรับการวิเคราะห์แนวโน้มรูปเกมของแต่ละไฟต์บนสังเวียนเวทีลุมพินีในค่ำคืนนี้อีกด้วย

คู่ที่ มุมแดง พิกัด (ปอนด์) ชั่งได้ สถานะน้ำหนัก มุมน้ำเงิน พิกัด (ปอนด์) ชั่งได้ สถานะน้ำหนัก หมายเหตุ
1 ชายัน ออร์ซัค 135.0 135.0 ตามพิกัด อิมราน ซาติเอฟ 135.0 134.4 ขาด 0.6 ปอนด์ เปิดหัวพิกัด 135 ปอนด์
2 โอลีเวีย ดาบรอว์สกี 115.0 112.6 ขาด 2.4 ปอนด์ หว่อง จี เชง 115.0 114.2 ขาด 0.8 ปอนด์ ต่างชาติสายหญิง/อินเตอร์
3 ทอม คีโอ 155.0 155.0 ตามพิกัด มาฮาน โฟตูฮี 155.0 154.0 ขาด 1.0 ปอนด์ รุ่นใหญ่ 155 ปอนด์
4 ลำน้ำมูลเล็ก ทีเด็ด99 136.0 135.2 ขาด 0.8 ปอนด์ ฮาเวียร์ กัลเวซ 136.0 134.8 ขาด 1.2 ปอนด์ ไทย vs ต่างชาติ พิกัด 136 ป.
5 ตังตัง ส.เดชะพันธ์ 110.0 110.0 ตามพิกัด น้องแอ้ม แฟร์เท็กซ์ 110.0 110.0 ตามพิกัด มวยไทยคุณภาพ 110 ปอนด์
6 สุขสวัสดิ์ พี.เค.แสนชัยมวยไทยยิม 140.0 139.0 ขาด 1.0 ปอนด์ กายสิทธิ์ เกียรติเจริญชัย 140.0 139.2 ขาด 0.8 ปอนด์ ศึกไทย vs ไทย รุ่น 140 ป.
7 เพชรสาม เพชรมวยไทยยิม 112.0 111.2 ขาด 0.8 ปอนด์ นิธิกร เจพี.เพาเวอร์ 112.0 111.8 ขาด 0.2 ปอนด์ มวยรุ่นเล็กเกมเร็ว
8 อีสานเหนือ โชติบางแสน 130.0 129.8 ขาด 0.2 ปอนด์ ปานเผด็จ เอ็นเอฟ.ลูกสวน 130.0 129.8 ขาด 0.2 ปอนด์ สมดุลทั้งคู่ 130 ปอนด์
9 ก้องไกล ส.สมหมาย 145.0 143.6 ขาด 1.4 ปอนด์ เคนดู แฟร์เท็กซ์ 145.0 144.2 ขาด 0.8 ปอนด์ รุ่นใหญ่เดือด 145 ป.
10 วรพล ลูกเจ้าพ่อโรงต้ม 145.0 144.6 ขาด 0.4 ปอนด์ จูลิโอ โลโบ 145.0 144.0 ขาด 1.0 ปอนด์ ไทย vs ต่างชาติ 145 ปอนด์
11 นาซาเรธ ลัลทาซูอาลา 125.0 123.6 ขาด 1.4 ปอนด์ มาซากิ ซูซูกิ 125.0 123.8 ขาด 1.2 ปอนด์ ไฟต์ต่างชาติ 125 ปอนด์
12 ศิลาชัย สจ.แดนระยอง 125.0 122.0 ขาด 3.0 ปอนด์ โคจิโร ชิบะ 125.0 121.0 ขาด 4.0 ปอนด์ คู่ปิดท้ายเบาทั้งคู่

จากตารางจะเห็นว่าในศึกวันแชมเปียนชิพลุมพินี 135 นักมวยส่วนใหญ่ชั่งได้ในลักษณะ “ขาดพิกัดเล็กน้อย” มากกว่าการเกินน้ำหนักแล้วต้องลด
โดยเฉพาะคู่ปลายบัตรอย่างนาซาเรธ–มาซากิ และศิลาชัย–โคจิโร ที่ทั้งสองมุมของแต่ละไฟต์ขาดน้ำหนักค่อนข้างมาก
แสดงให้เห็นว่าเป็นมวยที่อาจมีขนาดตัวเล็กกว่าพิกัดมาตรฐาน แต่ได้ความคล่องตัวสูง ซึ่งส่งผลต่อรูปแบบเกมที่น่าจะเน้นความเร็วและการเข้า–ออกมากกว่าการปะทะแบบหนักหน่วง
สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นปัจจัยสำคัญที่แฟนมวยควรพิจารณาเมื่อวิเคราะห์คู่มวยในศึกวันแชมเปียนชิพลุมพินี 135 เพื่อให้มองเห็นเกมลึกได้มากกว่าแค่ดูจากชื่อชั้นเพียงอย่างเดียว

วิเคราะห์คู่มวย ศึกวันแชมเปียนชิพลุมพินี 135 อย่างละเอียด

การวิเคราะห์เกมการแข่งขันในศึกวันแชมเปียนชิพลุมพินี 135 จะช่วยให้แฟนมวยเข้าใจแนวโน้มของไฟต์ต่าง ๆ บนเวทีลุมพินีได้อย่างมีมิติยิ่งขึ้น
ไม่ว่าจะเป็นความได้เปรียบเสียเปรียบด้านน้ำหนัก ความต่างของเชิงมวยไทยแท้กับสายคอมแบ็ตจากต่างชาติ หรือความพร้อมของร่างกายจากการชั่งน้ำหนักจริง
ในส่วนนี้เราจะไล่ดูคู่มวยที่น่าจับตามองทีละคู่ ตั้งแต่ไฟต์เปิดบัตรไปจนถึงคู่ปิดท้าย เพื่อให้ผู้อ่านสามารถใช้ข้อมูลเหล่านี้ประกอบการชมและวิเคราะห์ศึกวันแชมเปียนชิพลุมพินี 135 ได้อย่างสนุกและมีเหตุผลประกอบชัดเจน

คู่ที่ 1 ชายัน ออร์ซัค vs อิมราน ซาติเอฟ (พิกัด 135 ปอนด์)

เปิดศึกวันแชมเปียนชิพลุมพินี 135 ด้วยไฟต์ต่างชาติรุ่น 135 ปอนด์ระหว่าง ชายัน ออร์ซัค ที่ชั่งได้ตามพิกัด 135 ปอนด์เต็ม
กับ อิมราน ซาติเอฟ ที่ชั่งได้ 134.4 ปอนด์ ขาดไป 0.6 ปอนด์ แปลว่าชายันจะได้ความแน่นและมวลร่างกายเต็มพิกัดมากกว่าเล็กน้อย ขณะที่อิมรานอาจมีข้อดีด้านความเร็วและความคล่องตัว
ในไฟต์เปิดรายการแบบนี้ บทบาทสำคัญคือการสร้างบรรยากาศให้ผู้ชมรู้สึกถึงความเข้มข้นของศึกวันแชมเปียนชิพลุมพินี 135 ตั้งแต่นาทีแรก
จึงมีโอกาสสูงที่ทั้งสองฝ่ายจะมาเปิดเกมบุกแลกอาวุธกันมากกว่าจะยื้อเกมรอคะแนนอย่างเดียว

เชิงมวยสากลผสมมวยไทยแบบอินเตอร์ มักเน้นการยืนแลกกลางเวทีและใช้หมัดเป็นอาวุธนำ ก่อนจะผสมเข่าและศอกในจังหวะได้เปรียบ
ชายันที่ตัวเต็มพิกัดอาจเลือกเดินบด ใช้ความแข็งแรงเข้ากดดันอิมรานไม่ให้ได้เล่นวงนอกมากนัก
ถ้าเขาสามารถล็อกตำแหน่งคู่ต่อสู้ไว้ในมุมเชือกได้บ่อย เวลาออกหมัด–เตะ–เข่า ก็มีโอกาสสร้างความเสียหายสูง
ในทางกลับกัน ถ้าอิมรานใช้ความคล่องและชิงจังหวะออกหมัด–เตะก่อนแล้ววนหนี ไม่ให้ถูกบีบเข้ามุมได้ง่าย เกมก็อาจพลิกไปเข้าทางฝั่งน้ำเงิน
จึงพูดได้ว่าคู่เปิดของศึกวันแชมเปียนชิพลุมพินี 135 คู่นี้ คือการวัดกันระหว่าง “ตัวเต็ม” กับ “ตัวเบาคล่อง” อย่างแท้จริง

คู่ที่ 2 โอลีเวีย ดาบรอว์สกี vs หว่อง จี เชง (พิกัด 115 ปอนด์)

คู่ที่สองในศึกวันแชมเปียนชิพลุมพินี 135 ขยับลงมาที่พิกัด 115 ปอนด์ เป็นไฟต์ต่างชาติสายอินเตอร์ระหว่าง โอลีเวีย ดาบรอว์สกี และ หว่อง จี เชง
โอลีเวียชั่งได้เพียง 112.6 ปอนด์ ขาดไปถึง 2.4 ปอนด์ ขณะที่หว่องจีเชงชั่งได้ 114.2 ปอนด์ ขาด 0.8 ปอนด์
ตัวเลขนี้บ่งชี้ชัดว่าโอลีเวียจะตัวเล็กกว่ามาก แต่มีความเบาสดและคล่องตัวสูง ส่วนหว่องน่าจะได้เปรียบด้านมวลกล้ามเนื้อและแรงปะทะ
ซึ่งเป็นภาพที่น่าสนใจสำหรับแฟนมวยที่อยากเห็นการวัดกันระหว่างความเร็วกับพละกำลังบนเวทีจริง

ในมุมของรูปเกม โอลีเวียอาจต้องเลือกใช้แท็กติก “โดนไม่ได้” เน้นการหลบ–ปัด หมัดและเตะจากหว่อง แล้วสวนกลับด้วยคอมโบหมัด–เตะที่เร็วและชัด
หากสามารถรักษาระยะและใช้ความไวของขาและมือได้ดี ก็มีโอกาสเก็บคะแนนแบบเนียน ๆ ในสายตากรรมการ
ส่วนหว่อง จี เชง หากเห็นว่าตัวเองเหนือกว่าเรื่องรูปร่าง อาจเดินบดเข้าหา ใช้หมัดและเข่าทำลายช่วงล่างและลำตัวของโอลีเวีย
เพื่อจำกัดการเคลื่อนที่และบีบให้คู่ชกต้องยืนแลกในระยะแรงของตัวเอง
ด้วยความต่างของน้ำหนักจริงที่ค่อนข้างชัดเจน ไฟต์นี้ในศึกวันแชมเปียนชิพลุมพินี 135 จึงเป็นอีกคู่ที่คาดเดายาก และสามารถจบเกมได้ทั้งแบบครบยกหรือจบเร็วก่อนเวลาได้เช่นกัน

คู่ที่ 3 ทอม คีโอ vs มาฮาน โฟตูฮี (พิกัด 155 ปอนด์)

คู่ที่สามในพิกัด 155 ปอนด์ของศึกวันแชมเปียนชิพลุมพินี 135 เป็นรุ่นใหญ่สุดของรายการ
โดย ทอม คีโอ ชั่งได้ตามพิกัด 155 ปอนด์เต็ม ส่วน มาฮาน โฟตูฮี ชั่งได้ 154 ปอนด์ ขาดไป 1.0 ปอนด์
แปลว่าทอมคล้ายจะได้เปรียบด้านรูปร่างเล็กน้อย ทั้งในแง่ความแน่นของมวลกล้ามเนื้อและความสามารถในการรับแรงปะทะ
ในขณะที่มาฮานอาจได้เปรียบด้านความเร็วและการเคลื่อนที่ ซึ่งเป็นภาพที่แฟนมวยรุ่นใหญ่คุ้นเคยในเกมการชกระดับอินเตอร์

ทอม คีโอ อาจใช้สไตล์เดินบดแบบมวยรุ่นใหญ่ เน้นหมัดหนักและลูกเตะล่างเพื่อทำลายฐานของคู่ต่อสู้ให้เสียจังหวะ
เมื่อทำให้อีกฝ่ายหยุดนิ่งมากขึ้น ก็จะมีช่องว่างให้ใส่หมัด–ศอก–เข่าในจังหวะที่ได้ปล่อยของเต็ม ๆ
ส่วนมาฮาน โฟตูฮี น่าจะวางเกมแบบเซฟรอยเคลื่อนที่ ใช้การฟุตเวิร์กและจังหวะเข้าทำทีละน้อยแต่เน้นความแม่นยำ
ถ้าเขาสามารถหลีกเลี่ยงการปะทะหนัก ๆ ได้และคุมเกมให้เป็นลักษณะ “มวยเล่นแต้ม” ก็มีโอกาสพลิกผลในศึกวันแชมเปียนชิพลุมพินี 135 คู่นี้ได้เช่นกัน
ถือเป็นอีกไฟต์ที่แฟนมวยรุ่นใหญ่น่าจับตา เพราะมีทั้งพละกำลังและแท็กติกผสมกันอย่างกลมกล่อม

คู่ที่ 4 ลำน้ำมูลเล็ก ทีเด็ด99 vs ฮาเวียร์ กัลเวซ (พิกัด 136 ปอนด์)

คู่ที่สี่ในศึกวันแชมเปียนชิพลุมพินี 135 คือไฟต์ที่แฟนมวยไทยแท้หลายคนสนใจเป็นพิเศษ เพราะเป็นการพบกันระหว่างมวยไทยสายแท้จากค่าย ทีเด็ด99 อย่าง ลำน้ำมูลเล็ก
กับนักสู้ต่างชาติ ฮาเวียร์ กัลเวซ ในพิกัด 136 ปอนด์ ลำน้ำมูลเล็กขาดน้ำหนัก 0.8 ปอนด์ ชั่งได้ 135.2 ปอนด์ ขณะที่ฮาเวียร์ขาด 1.2 ปอนด์ ชั่งได้ 134.8 ปอนด์
ทั้งคู่ตัวเบากว่าพิกัดเล็กน้อย แสดงว่าทั้งสองฝั่งน่าจะมีความคล่องตัวดี ไม่ตึงน้ำหนักจนเกินไป ทำให้เกมการแข่งขันมีโอกาสใช้ความเร็วและเทคนิคผสมกับแรงปะทะในแบบที่แฟนมวยชื่นชอบ

ลำน้ำมูลเล็ก ขึ้นชื่อว่าเป็นมวยไทยเชิงจัดที่มีลูกเตะและลูกเข่าที่อันตราย บวกกับประสบการณ์ในเวทีไทยระดับสูง
จุดแข็งของเขาอยู่ที่การอ่านเกมและการตอบโต้ในจังหวะที่เหมาะสม ส่วนฮาเวียร์ กัลเวซ น่าจะมาพร้อมความดุดันแบบตะวันตก ใช้หมัดและลูกเตะแรง ๆ เปลี่ยนเกมได้ในทันทีหากเข้าเป้าเต็ม ๆ
ศึกวันแชมเปียนชิพลุมพินี 135 คู่นี้จึงเป็นการทดสอบว่ามวยไทยสายเทคนิคเมื่อเจอกับมวยต่างชาติสายปะทะหนักสุดตัว ใครจะสามารถ imposing สไตล์ของตนให้เด่นชัดกว่าอีกฝ่ายได้ในสามยกบนเวทีลุมพินี

คู่ที่ 5 ตังตัง ส.เดชะพันธ์ vs น้องแอ้ม แฟร์เท็กซ์ (พิกัด 110 ปอนด์)

คู่ที่ห้าในพิกัด 110 ปอนด์ระหว่าง ตังตัง ส.เดชะพันธ์ กับ น้องแอ้ม แฟร์เท็กซ์ ถือเป็นหนึ่งในคู่ที่น้ำหนักสมดุลที่สุดของศึกวันแชมเปียนชิพลุมพินี 135
เพราะทั้งสองชั่งได้ตามพิกัดพอดีที่ 110 ปอนด์ ไม่มีการลดหรือขาดน้ำหนักให้ต้องกังวลเรื่องความฟิต
จึงทำให้ไฟต์นี้เป็นการวัดกันที่ฝีมือ เชิงมวย การวางแผน และความมั่นคงของจิตใจบนเวทีเต็ม ๆ มากกว่าจะมีประเด็นเรื่องสรีระเข้ามาเกี่ยวข้อง

ตังตังจากสายสังกัด ส.เดชะพันธ์ น่าจะมีพื้นฐานมวยไทยดั้งเดิมที่ครบเครื่อง ทั้งเกมรุกและเกมรับ
ส่วนน้องแอ้มจากค่ายแฟร์เท็กซ์ ซึ่งเป็นค่ายที่มีชื่อเสียงในเวทีสากลและการแข่งขันระดับโลก อาจมีการผสมผสานเทคนิคมวยไทยเข้ากับการเตรียมร่างกายสไตล์สปอร์ตโมเดิร์น
ไฟต์นี้ในศึกวันแชมเปียนชิพลุมพินี 135 จึงเหมาะสำหรับแฟนมวยที่อยากเห็นการชนกันของระบบฝึกซ้อมแบบดั้งเดิมกับระบบฝึกแบบสากลร่วมสมัย
โดยไม่มีเรื่องน้ำหนักมาทำให้เกมเอียงไปทางใดทางหนึ่งอย่างชัดเจน

คู่ที่ 6 สุขสวัสดิ์ พี.เค.แสนชัยมวยไทยยิม vs กายสิทธิ์ เกียรติเจริญชัย (พิกัด 140 ปอนด์)

คู่ที่หกในศึกวันแชมเปียนชิพลุมพินี 135 เป็นไฟต์ไทยพบไทยพิกัด 140 ปอนด์ระหว่าง สุขสวัสดิ์ จากค่าย พี.เค.แสนชัยมวยไทยยิม และ กายสิทธิ์ เกียรติเจริญชัย
สุขสวัสดิ์ขาดน้ำหนัก 1.0 ปอนด์ ชั่งได้ 139 ปอนด์ ขณะที่กายสิทธิ์ขาด 0.8 ปอนด์ ชั่งได้ 139.2 ปอนด์
ทั้งสองจึงมีน้ำหนักตัวใกล้เคียงกันมาก ความแตกต่างแทบไม่มากพอจะทำให้เกิดข้อได้เปรียบเสียเปรียบอย่างชี้ชัด
จึงทำให้คู่มวยนี้จะถูกตัดสินด้วยเชิงมวย ประสบการณ์ และความพร้อมทางสภาพจิตใจล้วน ๆ บนเวทีลุมพินี

สุขสวัสดิ์จาก พี.เค.แสนชัยฯ เป็นตัวแทนของค่ายระดับท็อปที่สร้างมวยดังมามากมาย
ส่วนกายสิทธิ์จากเกียรติเจริญชัยก็เป็นสายมวยไฟแรงที่ชื่อค่ายบ่งบอกถึงความตั้งใจในการสร้างมวย
เกมในศึกวันแชมเปียนชิพลุมพินี 135 คู่นี้อาจเริ่มต้นด้วยการเช็กเชิงเล็กน้อย ก่อนจะขยับเป็นการแลกหมัด–เตะอย่างต่อเนื่องในช่วงกลางยก
ผู้ที่สามารถรักษาความนิ่งและไม่หลุดจังหวะง่ายย่อมมีโอกาสได้เปรียบในสายตากรรมการ โดยเฉพาะในช่วงท้ายยกที่การเก็บคะแนนสำคัญอย่างยิ่งสำหรับไฟต์ไทย vs ไทยบนเวทีใหญ่

คู่ที่ 7 เพชรสาม เพชรมวยไทยยิม vs นิธิกร เจพี.เพาเวอร์ (พิกัด 112 ปอนด์)

คู่ที่เจ็ดในพิกัด 112 ปอนด์ระหว่าง เพชรสาม จากเพชรมวยไทยยิม และ นิธิกร จากเจพี.เพาเวอร์ เป็นมวยรุ่นเล็กที่น่าสนใจในศึกวันแชมเปียนชิพลุมพินี 135
เพชรสามชั่งได้ 111.2 ปอนด์ ขาดไป 0.8 ปอนด์ ขณะที่นิธิกรชั่งได้ 111.8 ปอนด์ ขาดเพียง 0.2 ปอนด์
ทั้งสองจึงตัวไม่ตึงน้ำหนัก และมีความคล่องทั้งคู่ แต่ในแง่รูปร่าง นิธิกรอาจดูเต็มกว่าเล็กน้อย ซึ่งช่วยให้แรงปะทะและความแน่นของหมัด–เตะดีกว่าเพชรสามนิด ๆ

เพชรสามจากยิมที่ชื่อ “เพชรมวยไทย” น่าจะมีจุดขายด้านทักษะมวยไทยพื้นฐานที่แน่นหนา ส่วน นิธิกร จากสายเจพี.เพาเวอร์ ซึ่งชื่อบ่งบอกถึงสายฟิตเนสและพละกำลัง เขาอาจเด่นด้านความอึดและความแข็งแรงของร่างกาย
ดังนั้นศึกวันแชมเปียนชิพลุมพินี 135 คู่นี้จึงเป็นการวัดกันระหว่าง “ความเก๋าในเชิง” กับ “พลังและความฟิตของวัยรุ่น”
ผู้ที่สามารถผสมผสานสองอย่างนี้ได้ลงตัวกว่า ย่อมมีโอกาสเป็นฝ่ายยืนมือชูหลังจบสามยก

คู่ที่ 8 อีสานเหนือ โชติบางแสน vs ปานเผด็จ เอ็นเอฟ.ลูกสวน (พิกัด 130 ปอนด์)

คู่ที่แปดของศึกวันแชมเปียนชิพลุมพินี 135 เป็นมวยไทยสายไทยล้วนพิกัด 130 ปอนด์ ระหว่าง อีสานเหนือ โชติบางแสน กับ ปานเผด็จ เอ็นเอฟ.ลูกสวน
ทั้งสองชั่งได้ 129.8 ปอนด์เท่ากัน ขาดไป 0.2 ปอนด์จากพิกัด แสดงให้เห็นถึงการคุมรูปร่างที่เหมาะสมและไม่มีฝ่ายใดต้องเค้นน้ำหนักจนเกินตัว
ด้วยความสมดุลด้านน้ำหนักเช่นนี้ เกมการแข่งขันจึงเปิดไว้ให้วัดกันที่แท็กติก ความมั่นใจ และการออกอาวุธในสถานการณ์กดดันมากกว่าเรื่องสรีระ

อีสานเหนือจากค่ายโชติบางแสน น่าจะมีสไตล์มวยเดินบู๊ผสมเชิงมวยแบบลูกผสมระหว่างสายอีสานและสายชายทะเล
ส่วนปานเผด็จจากเอ็นเอฟ.ลูกสวน ก็เป็นตัวแทนของมวยที่ฝึกฝนในสิ่งแวดล้อมสายภูธร แต่มีโอกาสขึ้นเวทีใหญ่อย่างลุมพินีในศึกวันแชมเปียนชิพลุมพินี 135
ถ้าหากฝ่ายใดสามารถใช้ลูกเก็บคะแนน เช่น เตะตัดขา ดักศอก หรือเสียบเข่าในจังหวะสำคัญได้ดีกว่า ก็มีสิทธิ์พลิกเกมไฟต์นี้ได้อย่างสวยงาม
แม้จะเป็นคู่กลางบัตร แต่ความสมดุลของไฟต์นี้มีศักยภาพจะปล่อยของกันแบบไม่มีใครยอมใคร

คู่ที่ 9 ก้องไกล ส.สมหมาย vs เคนดู แฟร์เท็กซ์ (พิกัด 145 ปอนด์)

คู่ที่เก้าในพิกัด 145 ปอนด์ ถือเป็นหนึ่งในไฮไลต์ของศึกวันแชมเปียนชิพลุมพินี 135 เพราะเป็นการพบกันระหว่าง ก้องไกล ส.สมหมาย
หนึ่งในมวยไทยสายดุจากค่ายใหญ่ระดับแถวหน้าของประเทศ กับ เคนดู นักสู้ต่างชาติจากค่ายแฟร์เท็กซ์ที่มีชื่อเสียงระดับโลก
ก้องไกลชั่งได้ 143.6 ปอนด์ ขาดไป 1.4 ปอนด์ ส่วนเคนดูชั่งได้ 144.2 ปอนด์ ขาด 0.8 ปอนด์
แม้ต่างฝ่ายต่างขาดน้ำหนัก แต่เคนดูจะตัวเต็มใกล้พิกัดมากกว่านิดหน่อย ขณะที่ก้องไกลอาจได้เปรียบด้านความเบาสดในเกมยาว

ก้องไกลจาก ส.สมหมาย มีจุดเด่นที่ความแข็งแรงของลูกเตะ–เข่า และใจสู้ที่เต็มร้อย
เกมของเขามักจะเป็นการเดินบี้เข้าหา ใช้การกดดันและยัดอาวุธในจังหวะที่คู่ชกหนีไม่ออก
ส่วนเคนดูในฐานะต่างชาติจากแฟร์เท็กซ์ น่าจะมีพื้นฐานมวยไทยอย่างเข้มแข็งและเสริมด้วยฟิตเนสสมัยใหม่ ทำให้มีทั้งแรงและความคมของหมัด–เตะในระดับสูง
ไฟต์นี้ของศึกวันแชมเปียนชิพลุมพินี 135 จึงเป็นการวัดกันระหว่างไทยแท้ชื่อดังกับต่างชาติคุณภาพสูง
ผลที่ออกมาจะยิ่งส่งผลต่อภาพลักษณ์ของมวยไทยในสายตาผู้ชมทั่วโลกมากขึ้นไปอีก

คู่ที่ 10 วรพล ลูกเจ้าพ่อโรงต้ม vs จูลิโอ โลโบ (พิกัด 145 ปอนด์)

คู่ที่สิบในพิกัด 145 ปอนด์ของศึกวันแชมเปียนชิพลุมพินี 135 เป็นไฟต์ไทย vs ต่างชาติที่น่าดูอย่างยิ่ง
วรพล ลูกเจ้าพ่อโรงต้ม ชั่งได้ 144.6 ปอนด์ ขาด 0.4 ปอนด์ ส่วน จูลิโอ โลโบ ชั่งได้ 144.0 ปอนด์ ขาด 1.0 ปอนด์
แม้ทั้งคู่จะน้ำหนักต่ำกว่าพิกัด แต่ความต่างด้านตัวเลขไม่มากจนถึงขั้นมีผลเชิงสรีระแบบชัดเจน
จึงทำให้ไฟต์นี้มีโอกาสสูงที่จะเป็นเกมที่วัดกันด้วยฝีมือและไฟต์ใจของนักสู้ทั้งสองโดยตรง

วรพลในฐานะตัวแทนมวยไทยแท้สายลูกเจ้าพ่อโรงต้ม น่าจะมีลูกเล่นในเชิงมวยที่หลากหลาย ตั้งแต่แข้งแทงล่าง เข่าค้ำ ศอกสับ ไปจนถึงหมัดคู่ที่ใช้ปิดบัญชี
ด้านจูลิโอ โลโบ เป็นหนึ่งในต่างชาติที่แฟนมวยคุ้นชื่อมายาวนานในเวทีมวยไทยและรายการ ONE
จุดเด่นของเขาคือความเป็นต่างชาติที่ “เข้าใจมวยไทยจริง” ไม่ได้เน้นหมัดอย่างเดียว แต่รู้จักใช้ทุกอาวุธตามแบบฉบับมวยไทย
ในศึกวันแชมเปียนชิพลุมพินี 135 ไฟต์นี้จึงถือเป็นอีกคู่ที่สะท้อนให้เห็นว่ามวยไทยได้กลายเป็นภาษากลางของนักสู้ทั่วโลกไปแล้วอย่างสมบูรณ์แบบ

คู่ที่ 11 นาซาเรธ ลัลทาซูอาลา vs มาซากิ ซูซูกิ (พิกัด 125 ปอนด์)

คู่ที่สิบเอ็ดในพิกัด 125 ปอนด์ของศึกวันแชมเปียนชิพลุมพินี 135 เป็นการปะทะกันของต่างชาติสายเอเชียระหว่าง นาซาเรธ ลัลทาซูอาลา และ มาซากิ ซูซูกิ
นาซาเรธชั่งได้ 123.6 ปอนด์ ขาดไป 1.4 ปอนด์ ส่วนมาซากิชั่งได้ 123.8 ปอนด์ ขาด 1.2 ปอนด์
ทั้งสองจึงมีน้ำหนักจริงต่ำกว่าพิกัดพอสมควร แต่ใกล้เคียงกันมากจนจัดได้ว่ามีความสมดุลด้านสรีระในระดับหนึ่ง
ทำให้เกมน่าจะเน้นความเร็ว ความแข็งแกร่งของหัวจิตหัวใจ และความแม่นยำของการออกอาวุธเป็นหลัก

นาซาเรธอาจเป็นมวยที่มีพื้นฐานมวยสากลหรือคิกบ็อกซิ่งอยู่ไม่น้อย เน้นการเคลื่อนที่และจังหวะหมัดหนึ่ง–สองเป็นหลัก
ส่วนมาซากิ ซูซูกิ จากญี่ปุ่นอาจสะท้อนแนวทางการเล่นมวยไทยที่ผสมผสานกับวินัยแบบนักสู้ซามูไร คือเน้นความตั้งใจและการปฏิบัติตามแผนอย่างเคร่งครัด
ไฟต์นี้บนศึกวันแชมเปียนชิพลุมพินี 135 จึงเหมาะสำหรับแฟนมวยที่อยากดูเกมแลกที่โฟกัสไปที่เทคนิคและจังหวะ มากกว่าการหวังหมัดน็อกเพียงอย่างเดียว
โดยผู้ที่สามารถควบคุมสมาธิและรักษาโครงสร้างท่าทางได้ดีตลอดสามยกน่าจะเป็นฝ่ายกำชัย

คู่ที่ 12 ศิลาชัย สจ.แดนระยอง vs โคจิโร ชิบะ (พิกัด 125 ปอนด์)

คู่ปิดรายการของศึกวันแชมเปียนชิพลุมพินี 135 เป็นการพบกันระหว่าง ศิลาชัย สจ.แดนระยอง กับ โคจิโร ชิบะ ในพิกัด 125 ปอนด์
โดยศิลาชัยชั่งได้ 122.0 ปอนด์ ขาดไปถึง 3.0 ปอนด์ และโคจิโรชั่งได้ 121.0 ปอนด์ ขาดถึง 4.0 ปอนด์
หมายความว่าทั้งสองตัวเล็กกว่าพิกัดมาตรฐานค่อนข้างมาก แต่มองอีกมุมหนึ่งก็แสดงถึงความคล่องตัวและความเร็วที่จะเป็นจุดเด่นของไฟต์นี้อย่างแน่นอน
จังหวะเกมจึงมีแนวโน้มจะเป็นแบบเข้า–ออกเร็ว เน้นปริมาณการออกอาวุธและความแม่นยำในการเข้าเป้าเป็นหลัก

ศิลาชัยจากสังกัด สจ.แดนระยอง อาจเน้นลูกเตะพุ่งยาวและหมัดชุดเพื่อเก็บคะแนน ส่วนโคจิโร ชิบะ จากญี่ปุ่นอาจใช้สไตล์มวยไทยที่ผ่านการกลั่นกรองจากสายตะวันออก
ผสมการยืนการ์ดและการป้องกันตัวแบบเป๊ะ ๆ ตามสไตล์นักสู้ชาวญี่ปุ่น
ไฟต์นี้ในศึกวันแชมเปียนชิพลุมพินี 135 จึงเป็นการปิดท้ายรายการด้วยเกมเชิงเทคนิคที่มีความเร็วสูง
ซึ่งน่าจะสร้างความประทับใจให้แฟนมวยทั้งในสนามและทางบ้านได้ไม่น้อย แม้จะเป็นคู่ที่ขาดน้ำหนักทั้งสองฝ่าย แต่คุณภาพของเกมไม่น่าจะขาดตามน้ำหนักอย่างแน่นอน

ผลชั่งน้ำหนักและผลกระทบต่อเกมในศึกวันแชมเปียนชิพลุมพินี 135

เมื่อมองโดยรวมจะเห็นว่านักมวยจำนวนมากในศึกวันแชมเปียนชิพลุมพินี 135 ชั่งได้ขาดพิกัดเป็นส่วนใหญ่
มีเพียงบางรายเท่านั้นที่ชั่งได้ตามพิกัดเป๊ะอย่าง ชายัน ออร์ซัค, ทอม คีโอ และตังตัง ส.เดชะพันธ์
การชั่งขาดน้ำหนักในมวยอินเตอร์แบบนี้มักสะท้อนว่า นักมวยไม่ได้ดันทุรังรีดน้ำหนักจนเกินขีดจำกัดของร่างกาย
ซึ่งสอดคล้องกับแนวคิดการจัดศึกมวยแบบสากลที่ให้ความสำคัญกับความปลอดภัยของนักกีฬา
แต่ในมุมของมวยไทย การขาดน้ำหนักมากเกินไปอาจทำให้เสียเปรียบด้านขนาดตัวและแรงปะทะเมื่อเจอคู่ชกที่ตัวเต็มพิกัดมากกว่า

เคสหนัก ๆ อย่าง ศิลาชัยกับโคจิโร ที่ขาด 3 และ 4 ปอนด์ หรือโอลีเวียที่ขาด 2.4 ปอนด์
ทำให้แฟนมวยต้องจับตาดูว่า รูปเกมจะเป็นไปในแนวทางเน้นความเร็วและการหลบหลีกมากกว่าการยืนปะทะตรง ๆ หรือไม่
ในทางกลับกัน คู่ที่ตัวใกล้พิกัดกันอย่างตังตัง–น้องแอ้ม หรือลำน้ำมูลเล็ก–ฮาเวียร์ ก็แสดงให้เห็นการวัดฝีมือบนฐานสรีระที่ใกล้เคียงกัน
จึงทำให้ศึกวันแชมเปียนชิพลุมพินี 135 มีความหลากหลายด้านรูปแบบเกมและแท็กติกจากผลชั่งน้ำหนักอย่างแท้จริง

ค่ายมวยและนักมวยเด่นในศึกวันแชมเปียนชิพลุมพินี 135

อีกหนึ่งจุดแข็งของศึกวันแชมเปียนชิพลุมพินี 135 คือการเป็นเวทีที่เปิดกว้างให้ทั้งค่ายมวยไทยชื่อดังและค่ายต่างชาติได้แสดงศักยภาพบนเวทีเดียวกัน
ค่ายอย่าง พี.เค.แสนชัยมวยไทยยิม เพชรมวยไทยยิม ทีเด็ด99 ส.สมหมาย และแฟร์เท็กซ์ ต่างมีนักมวยขึ้นโชว์ฝีมือในบัตรนี้
ขณะเดียวกัน ค่ายที่ฝึกต่างชาติอย่างค่ายแฟร์เท็กซ์และค่ายที่รับนักสู้ต่างชาติเข้าฝึกในไทย ก็มีบทบาทสำคัญในการผลักดันนักมวยต่างชาติขึ้นสู่ศึกวันแชมเปียนชิพลุมพินี 135 อย่างเต็มภาคภูมิ

การที่นักมวยจากค่ายไทยชั้นนำต้องเจอกับนักมวยต่างชาติที่ซ้อมเข้มในประเทศไทย ช่วยให้แฟนมวยเห็นภาพชัดเจนว่า
มวยไทยไม่ได้เป็นแค่ศิลปะป้องกันตัวของคนไทยอีกต่อไป แต่กลายเป็นศิลปะการต่อสู้ที่คนทั่วโลกให้การยอมรับและศึกษาอย่างจริงจัง
ศึกวันแชมเปียนชิพลุมพินี 135 จึงเป็นเหมือนเวทีประชันกันของโรงเรียนมวยไทยจากทั่วโลก
ซึ่งผลของแต่ละไฟต์ย่อมส่งผลต่อชื่อเสียงของค่าย รวมถึงความเชื่อมั่นของแฟนมวยต่างชาติที่มองมวยไทยในฐานะกีฬาระดับนานาชาติด้วย

คู่มวยไฮไลต์ที่ไม่ควรพลาดในศึกวันแชมเปียนชิพลุมพินี 135

หากมองหาไฟต์ที่น่าจับตามองเป็นพิเศษในศึกวันแชมเปียนชิพลุมพินี 135 คงต้องยกให้คู่รุ่นใหญ่พิกัด 145 ปอนด์อย่าง ก้องไกล ส.สมหมาย vs เคนดู แฟร์เท็กซ์
รวมถึงไฟต์ วรพล ลูกเจ้าพ่อโรงต้ม vs จูลิโอ โลโบ ที่เป็นการปะทะกันระหว่างมวยไทยแท้กับต่างชาติสายมวยไทยลึกซึ้ง
ทั้งสองคู่มีองค์ประกอบครบถ้วน ทั้งความดังของค่าย ความสมดุลของน้ำหนัก และสไตล์มวยที่น่าจะสาดอาวุธใส่กันอย่างดุเดือด
แฟนมวยสายเชียร์มวยไทยและสายเปรียบเทียบไทย–เทศจึงไม่ควรพลาดสองคู่นี้เด็ดขาด

ขณะเดียวกัน ไฟต์ของลำน้ำมูลเล็ก ทีเด็ด99 vs ฮาเวียร์ กัลเวซ ในพิกัด 136 ปอนด์ และ ตังตัง vs น้องแอ้ม ในพิกัด 110 ปอนด์
ก็เป็นอีกสองคู่ที่เหมาะสำหรับคนที่อยากดูมวยเชิงจัด เน้นความสมดุลของน้ำหนักและฝีมือ
ส่วนไฟต์ต่างชาติสายอินเตอร์อย่าง คริส จี vs นารุดิน หรือ นาซาเรธ vs มาซากิ ก็เติมสีสันให้ศึกวันแชมเปียนชิพลุมพินี 135 มีความหลากหลายไม่จำเจ
เรียกได้ว่าไม่ว่าคุณจะชอบมวยไทยแท้หรือมวยต่างชาติสไตล์คอมแบ็ต ก็สามารถหาคู่ที่ถูกใจได้ภายในบัตรเดียวอย่างแน่นอน

ข้อมูลสำหรับผู้ชมที่ต้องการตามดูศึกวันแชมเปียนชิพลุมพินี 135

สำหรับผู้ที่ต้องการเดินทางไปชมศึกวันแชมเปียนชิพลุมพินี 135 ถึงขอบเวทีลุมพินี ควรวางแผนให้ถึงสนามก่อนเวลาเริ่มชกสักประมาณ 30–45 นาที
เพื่อให้มีเวลาเพียงพอในการหาที่นั่ง ซื้อเครื่องดื่ม หรือปรับตัวเข้ากับบรรยากาศในสนามที่เต็มไปด้วยแฟนมวยทั้งชาวไทยและต่างชาติ
เนื่องจากรายการเริ่มชกตั้งแต่เวลา 19.30 น. และมีไฟต์ต่อเนื่องถึง 12 คู่ หากไปถึงช้าอาจพลาดคู่เปิดที่มักสนุกไม่แพ้คู่หลัง ๆ
และเสียโอกาสในการชมไฟต์ต่างชาติที่สะท้อนความเป็นสากลของมวยไทยในยุคปัจจุบันได้อย่างชัดเจน

สำหรับผู้ที่ชมจากทางบ้าน การตรวจสอบช่องทางถ่ายทอดสดของศึกวันแชมเปียนชิพลุมพินี 135 ล่วงหน้า เช่น ช่องทีวีหรือแพลตฟอร์มสตรีมมิ่ง
จะช่วยให้ไม่พลาดไฟต์สำคัญ และสามารถใช้ตารางโปรแกรมรวมถึงการวิเคราะห์เบื้องต้นในบทความนี้เป็นข้อมูลประกอบการชมได้อย่างมีประสิทธิภาพ
เพราะเมื่อคุณรู้ว่าคู่ใดขาดน้ำหนักมาก คู่ใดตัวเต็มพิกัด และคู่ใดเป็นมวยไทย vs ต่างชาติ ก็จะทำให้การชมมวยในค่ำคืนนี้มีมิติและสนุกยิ่งขึ้น
ไม่ใช่เพียงการดูผลแพ้ชนะ แต่เป็นการอ่านเกมและเรียนรู้ศิลปะการต่อสู้บนเวทีลุมพินีไปพร้อมกันอย่างลึกซึ้ง

สรุปภาพรวมศึกวันแชมเปียนชิพลุมพินี 135 วันที่ 28 พฤศจิกายน 2568

ศึกวันแชมเปียนชิพลุมพินี 135 วันที่ 28 พฤศจิกายน 2568 ณ สนามมวยเวทีลุมพินี คือบัตรมวยที่สะท้อนยุคใหม่ของมวยไทยได้อย่างลงตัว
ทั้งในแง่การเปิดรับนักมวยจากหลากหลายค่ายชั้นนำในไทย การเปิดพื้นที่ให้ต่างชาติสายมวยไทยได้แสดงฝีมือ และการจัดพิกัดน้ำหนักในรูปแบบปอนด์ที่สอดคล้องกับมาตรฐานสากล
ตลอดทั้ง 12 คู่ในค่ำคืนนี้ แฟนมวยจะได้เห็นครบทั้งความเร็ว ความแกร่ง เชิงมวย และการปะทะระหว่างสไตล์ไทยแท้กับสไตล์ต่างชาติที่หลากหลาย
ทำให้ศึกวันแชมเปียนชิพลุมพินี 135 เป็นหนึ่งในรายการที่ควรค่าต่อการจับตาดูอย่างยิ่งในปฏิทินมวยไทยปลายปีนี้

ไม่ว่าคุณจะเป็นแฟนมวยไทยสายดั้งเดิมที่ผูกพันกับเวทีลุมพินีมานาน หรือเป็นแฟนมวยรุ่นใหม่ที่ติดตามมวยผ่านแพลตฟอร์มระดับโลก
ศึกวันแชมเปียนชิพลุมพินี 135 ก็มีอะไรให้คุณได้ลุ้นและได้เรียนรู้อย่างแน่นอน
จากไฟต์เปิดรายการของชายัน–อิมราน ไปจนถึงคู่ปิดของศิลาชัย–โคจิโร ทุกไฟต์ล้วนมีเรื่องราวและความหมายในตัวเอง
หากคุณต้องการสัมผัสภาพรวมของมวยไทยยุคใหม่ที่เชื่อมโยงกับเวทีโลก ศึกวันแชมเปียนชิพลุมพินี 135 คือหนึ่งในบัตรมวยที่ไม่ควรพลาดด้วยประการทั้งปวง