โปรแกรมมวย ศึกเพชรยินดี ราชดำเนิน 13 พ.ย. 2568 | 18:00 น. จัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ที่เวทีมวยราชดำเนิน ซึ่งถือเป็นหนึ่งในรายการมวยที่แฟนหมัดมวยชาวไทยรอคอยมากที่สุดประจำสัปดาห์ เนื่องจากเต็มไปด้วยนักชกคุณภาพสูงจากหลากหลายค่ายทั่วประเทศ ประกอบกับการจัดคู่มวยที่มีความสมดุลด้านพิกัด น้ำหนัก และสไตล์การชกที่แตกต่าง ทำให้ค่ำคืนนี้เป็นอีกครั้งที่แฟนมวยจะได้รับชมความดุเดือดแบบเต็มรูปแบบ ตั้งแต่คู่แรกจนถึงคู่ปิดท้ายรายการอย่างแน่นอน

โปรแกรมมวย ศึกเพชรยินดี ราชดำเนิน 13 พ.ย. 2568 | 18:00 น.

โปรแกรมมวย ศึกเพชรยินดี ราชดำเนิน 13 พ.ย. 2568 | 18:00 น.

เวทีมวยราชดำเนินยังคงรักษามาตรฐานความเป็นผู้นำของวงการมวยไทย ด้วยบรรยากาศที่เต็มไปด้วยเสียงเชียร์ แสงสี และความคึกคักแบบจัดเต็ม รายการเพชรยินดีขึ้นชื่อเรื่องความเข้มข้นของคู่มวยและความโปร่งใสของการชั่งน้ำหนัก จึงไม่น่าแปลกใจที่แฟนมวยทั้งในสนามและทางบ้านต่างจับตามองทุกคู่เป็นพิเศษ โดยเฉพาะคู่ที่มีการลดน้ำหนักเยอะหรือขาดพิกัดมาก ซึ่งอาจส่งผลต่อผลการแข่งขันได้อย่างมีนัยสำคัญ

ตารางสรุปผลชั่งน้ำหนักนักมวยทั้ง 8 คู่

คู่ที่ ฝ่ายแดง น้ำหนักชั่งได้ ฝ่ายน้ำเงิน น้ำหนักชั่งได้ พิกัด
1 ขุนหาญ ลด 1.3 ตี๋เล็ก ขาด 0.8 105/106
2 ดาแบล้ ลด 1.1 ทัช ลด 0.8 123
3 กุหลาบขาว ขาด 1.4 ก้าวหน้า ลด 0.9 123
4 พลอยมงคล ขาด 0.2 เพชรศิริ ขาด 0.3 113
5 เพชรนิพนธ์ ลด 2.1 ภูสิงห์ ขาด 0.6 115/116
6 มรดกเพชร ลด 0.4 เพชรสองภาค ลด 0.3 143
7 เพชรเทวดา ขาด 0.5 พรานพยัคฆ์ ขาด 0.8 135
8 เพชรชลธาร ขาด 0.1 เพชรรุ่งเรือง ลด 2.5 133/134

วิเคราะห์คู่ต่อคู่

คู่ที่ 1: ขุนหาญ ดาบทิตบางรัก vs ตี๋เล็ก ม.รวมใจเพื่อน

แดง น้ำเงิน
ขุนหาญ – ลด 1.3 ปอนด์ ตี๋เล็ก – ขาด 0.8 ปอนด์

คู่เปิดหัวของรายการเป็นการเจอกันของนักมวยที่มีสไตล์ใกล้เคียงกัน
คือเดินเร็ว เข้าทำไว และออกอาวุธแบบประชิดตัว
ขุนหาญที่ลดน้ำหนักไปถึง 1.3 ปอนด์อาจเกิดอาการล้าเล็กน้อยหากเกมยืดเยื้อถึงยกท้าย
แต่ด้วยประสบการณ์และลูกแข้งขวาที่เฉียบคมยังคงเป็นอาวุธสำคัญในการกดดันคู่ต่อสู้
ส่วนตี๋เล็กที่มีน้ำหนักเบากว่าเล็กน้อยสามารถสร้างความได้เปรียบด้านความคล่องแคล่ว
แต่ต้องระวังจังหวะสวนกลับของขุนหาญที่มักทำได้ดีในช่วงกลางยกขึ้นไป
ไฟต์นี้ถือว่ามีโอกาสออกได้ทุกหน้า ขึ้นอยู่กับความนิ่งและความแม่นยำของอาวุธในแต่ละจังหวะ


คู่ที่ 2: ดาแบล้ เกียรติฉัตรชัย vs ทัช ว.วัฒนสุพงษ์

แดง น้ำเงิน
ดาแบล้ – ลด 1.1 ปอนด์ ทัช – ลด 0.8 ปอนด์

คู่นี้เป็นไฟต์ที่เน้นการหวดแข้งและการคุมจังหวะเป็นพิเศษ ดาแบล้ซึ่งเป็นนักมวยเชิง
มักใช้จังหวะสองและลูกเตะตัดล่างที่แม่นยำเพื่อตัดเกมคู่ต่อสู้
แม้จะต้องลดน้ำหนักมากกว่าทัช แต่สไตล์การชกของดาแบล้ไม่ใช่สไตล์บู๊หนัก
จึงไม่กระทบฟอร์มการชกมากนัก ขณะที่ทัชเป็นมวยที่เด่นด้านความไวและการเข้าทำแบบฉับพลัน
ทำให้คู่นี้กลายเป็นการวัดกันของความแม่นยำและไหวพริบมากกว่าแรงปะทะ
คาดว่าผู้ชนะจะเป็นฝ่ายที่คุมจังหวะกลางเวทีได้ดีกว่า และสามารถป้องกันการสวนกลับได้มีประสิทธิภาพ


คู่ที่ 3: กุหลาบขาว ส.บุญยรักษ์ vs ก้าวหน้า ร.ร.กีฬาโคราช

แดง น้ำเงิน
กุหลาบขาว – ขาด 1.4 ปอนด์ ก้าวหน้า – ลด 0.9 ปอนด์

กุหลาบขาวขาดน้ำหนักพอสมควร ซึ่งมักบ่งบอกว่านักมวยอาจมีสภาพร่างกายที่บางลง
ทำให้แรงปะทะลดลงตามไปด้วย หากต้องเดินบู๊ใส่คู่ต่อสู้อาจทำให้ตัวเองเสียจังหวะกลับมาโดนสวนได้ง่าย
ส่วนก้าวหน้าเป็นมวยที่มีพื้นฐานดีและออกอาวุธทรงพลัง ทั้งยังมีฟอร์มที่คงเส้นคงวาในช่วงหลัง
ทำให้คู่นี้เอนเอียงมาทางก้าวหน้าเล็กน้อย แต่หากกุหลาบขาวใช้ความเร็วและการฉีกมุมได้ดี
ก็อาจทำให้เกมสูสีขึ้นอย่างทันตาเห็น
คาดการณ์เบื้องต้นเป็นเกมสามยกที่วัดกันด้วยความแม่นยำมากกว่าแรงปะทะ


คู่ที่ 4: พลอยมงคล จ.เมืองศรี vs เพชรศิริ เกียรตินิเวศน์

แดง น้ำเงิน
พลอยมงคล – ขาด 0.2 ปอนด์ เพชรศิริ – ขาด 0.3 ปอนด์

คู่นี้เรียกได้ว่าเป็นคู่มวยที่สมดุลที่สุดของรายการในแง่การชั่งน้ำหนัก
เพราะทั้งคู่ขาดพิกัดใกล้เคียงกันมาก ไม่มีใครได้เปรียบเสียเปรียบด้านร่างกายอย่างชัดเจน
ทำให้ต้องวัดกันที่เทคนิคและชั้นเชิงล้วน ๆ พลอยมงคลเป็นมวยหมัดจัด เตะหนัก
ขณะที่เพชรศิริเป็นมวยปล้ำตีเหนียวแน่นยากต่อการเผชิญหน้า
ไฟต์นี้ขึ้นอยู่กับว่าพลอยมงคลจะรักษาระยะประชิดไม่ให้โดนล็อกได้ดีเพียงใด
เพราะหากโดนคุมวงในนาน ๆ อาจเสียคะแนนจนพลิกแพ้ได้เช่นกัน


คู่ที่ 5: เพชรนิพนธ์ แป๊ะสายสี่ vs ภูสิงห์ คลองสวนพลูรีสอร์ท

แดง น้ำเงิน
เพชรนิพนธ์ – ลด 2.1 ปอนด์ ภูสิงห์ – ขาด 0.6 ปอนด์

เพชรนิพนธ์ลดน้ำหนักมากถึง 2.1 ปอนด์ ซึ่งถือว่าสูงสำหรับนักมวยรุ่นนี้
อาจส่งผลต่อความฟื้นฟูของร่างกายในช่วงก่อนขึ้นชก ขณะที่ภูสิงห์เป็นมวยเชิงอาวุธที่ดี
และมีจุดเด่นคือการออกอาวุธหนักต่อเนื่อง ซึ่งอาจสร้างแรงกดดันให้เพชรนิพนธ์ได้ตลอดทั้งไฟต์
หากเพชรนิพนธ์ไม่สามารถตั้งหมัดเตะถีบเพื่อหยุดเกมบุกของภูสิงห์ได้
มีโอกาสสูงที่ปลายยกจะเสียเปรียบ โดยเฉพาะจังหวะปะทะตรงที่ต้องใช้แรงเยอะ


คู่ที่ 6: มรดกเพชร มวยเด็ด789 vs เพชรสองภาค ศิษย์เจริญทรัพย์

แดง น้ำเงิน
มรดกเพชร – ลด 0.4 ปอนด์ เพชรสองภาค – ลด 0.3 ปอนด์

ทั้งสองคนลดน้ำหนักใกล้เคียงกันมาก แตกต่างไม่ถึงครึ่งปอนด์ ส่งผลให้ไม่มีใครได้เปรียบด้านร่างกาย
จึงต้องใช้เทคนิคและการวางจังหวะเป็นหลัก มรดกเพชรเป็นนักมวยที่ออกอาวุธครบเครื่อง
แต่เพชรสองภาคมีจุดเด่นด้านแรงปะทะและวงในเหนียวแน่น หากเพชรสองภาคสามารถจับจังหวะล็อกและตีได้
จะเป็นฝ่ายกดดันคู่ต่อสู้ ขณะที่มรดกเพชรต้องรักษาระยะไม่ให้ถูกล็อกจนเสียรูปเกม


คู่ที่ 7: เพชรเทวดา ส.บุญยรักษ์ vs พรานพยัคฆ์ พยัคฆ์ภูหลวง

แดง น้ำเงิน
เพชรเทวดา – ขาด 0.5 ปอนด์ พรานพยัคฑ์ – ขาด 0.8 ปอนด์

คู่นี้เป็นอีกหนึ่งคู่ที่แฟนมวยจับตามองสูง เนื่องจากทั้งคู่มีชื่อชั้นและสไตล์การชกที่น่าติดตาม
เพชรเทวดามีจังหวะเตะซ้ายที่ไวและแม่นยำ ขณะที่พรานพยัคฆ์มีอาวุธหมัดแรงและเป็นมวยเดินเข้าหาเร็ว
การขาดน้ำหนักใกล้เคียงกันทำให้ไม่มีฝ่ายใดเสียเปรียบมากนัก
ไฟต์นี้ต้องวัดกันว่าใครจะคุมพื้นที่กลางเวทีได้ก่อน เพราะเป็นจุดชี้ขาดสำคัญของเกมการชก


คู่ที่ 8: เพชรชลธาร ก.อดิศักดิ์ vs เพชรรุ่งเรือง ส.จารุวรรณ

แดง น้ำเงิน
เพชรชลธาร – ขาด 0.1 ปอนด์ เพชรรุ่งเรือง – ลด 2.5 ปอนด์

เพชรรุ่งเรืองเป็นฝ่ายลดน้ำหนักมากถึง 2.5 ปอนด์ ซึ่งถือว่าเยอะมากสำหรับพิกัดนี้
อาจส่งผลต่อการฟื้นฟูร่างกายและแรงปะทะอย่างชัดเจน ในทางกลับกันเพชรชลธารขาดน้ำหนักเพียงเล็กน้อย
ทำให้ความสดและพละกำลังยังอยู่ครบ พร้อมออกอาวุธได้เต็มที่ตั้งแต่ต้นยกจนถึงยกสุดท้าย
หากเพชรรุ่งเรืองฟื้นตัวไม่สมบูรณ์ เกมอาจเป็นของเพชรชลธารทันทีในช่วงกลางยกเป็นต้นไป


บทสรุปภาพรวม

ศึกเพชรยินดีในค่ำคืนนี้มีความน่าสนใจครบทุกคู่มวย ไม่ว่าจะเป็นคู่เปิดหัวที่ออกอาวุธไว
คู่มวยที่มีประสบการณ์สูง หรือคู่เอกที่แฟนมวยรอคอย หลายคู่มีการชั่งน้ำหนักที่ใกล้เคียงพิกัด
แสดงให้เห็นถึงความพร้อมของทั้งสองฝ่าย ขณะที่บางคู่ต้องลดน้ำหนักมาก
ซึ่งถือเป็นปัจจัยสำคัญที่อาจเปลี่ยนผลการแข่งขันได้โดยสิ้นเชิง
แฟนมวยสามารถคาดหวังความสนุก ความเร้าใจ และการต่อสู้ที่เต็มไปด้วยทักษะชั้นสูงจากนักชกทั้งแปดคู่ในรายการนี้