ศึกมวยดีวิถีไทย ในวันอาทิตย์ที่ 7 ธันวาคม 2568 ณ เวทีมวยจิตรเมืองนนท์ อตก.3 จังหวัดนนทบุรี ถือเป็นอีกหนึ่งรายการมวยไทยเช้า–สายที่แฟนมวยตัวจริงเฝ้ารอชมกันอย่างต่อเนื่อง ด้วยเอกลักษณ์ของศึกมวยดีวิถีไทย ที่เน้นการนำเสนอ “มวยไทยแท้” ทั้งในเรื่องเชิงมวย การให้น้ำหนักกับแม่ไม้มวยไทย และการเปิดพื้นที่ให้กับนักชกรุ่นใหม่จากหลากหลายค่ายทั่วประเทศ การ์ดในครั้งนี้เริ่มชกตั้งแต่เวลา 11.00 น. เป็นต้นไป มีโปรแกรมมวยทั้งหมด 8 คู่ ไล่ตั้งแต่มวยเยาวชนพิกัด 100 ปอนด์ถึง 4 ไฟต์ ไปจนถึงมวยพิกัดกลางและใหญ่ 112, 123, 129 และ 133.5 ปอนด์ จึงนับได้ว่าเป็นบัตรมวยที่ครบเครื่องทั้งในมุมมวยสร้างและมวยที่พร้อมก้าวสู่เวทีระดับสูงขึ้นในอนาคต

เวทีมวยจิตรเมืองนนท์ ที่ใช้จัดศึกมวยดีวิถีไทย ครั้งนี้ ตั้งอยู่ในย่าน อตก.3 นนทบุรี ซึ่งเป็นพื้นที่ที่แฟนมวยคุ้นเคยกันดีในฐานะเวทีที่เปิดให้มวยเยาวชนและมวยพลังสดได้แสดงฝีมือ บรรยากาศในสนามมีทั้งแฟนมวยท้องถิ่น เซียนมวยที่มาจับราคา และผู้ชมทั่วไปที่ต้องการสัมผัสมวยไทยในระยะใกล้ การที่ศึกมวยดีวิถีไทย เลือกเวทีแห่งนี้เป็นสนามหลักในหลาย ๆ ครั้ง ช่วยตอกย้ำถึงบทบาทของเวทีจิตรเมืองนนท์ในฐานะ “สังเวียนปลุกปั้นดาวรุ่ง” ที่จะก้าวไปสู่เวทีใหญ่ระดับประเทศในอนาคต และทำให้ทุกคู่บนการ์ดมีความหมายต่อเส้นทางอาชีพของนักมวยมากกว่าการชกเพื่อผลแพ้ชนะเพียงอย่างเดียว

โปรแกรมมวยศึกมวยดีวิถีไทย ที่ 7 ธันวาคม 2568 เวทีมวยจิตรเมืองนนท์ อตก.3 นนทบุรี

ตารางการแข่งขัน ศึกมวยดีวิถีไทย 7 ธันวาคม 2568 เวทีมวยจิตรเมืองนนท์

ด้านล่างนี้คือตารางโปรแกรมมวยของศึกมวยดีวิถีไทย ประจำวันที่ 7 ธันวาคม 2568 ซึ่งแสดงรายละเอียดของทุกคู่มวยทั้ง 8 คู่บนเวทีจิตรเมืองนนท์ ข้อมูลในตารางประกอบไปด้วยชื่อมวยมุมแดงและมุมน้ำเงิน ค่ายหรือสังกัด พิกัดการชก รวมถึงสถานะน้ำหนักชั่งจริงว่าชั่งได้ตามพิกัด ขาด หรือหรือลดน้ำหนักมาเล็กน้อย ซึ่งเป็นปัจจัยเบื้องต้นที่แฟนมวยและสายวิเคราะห์สามารถนำไปใช้ประกอบการประเมินรูปเกมบนเวทีได้อย่างมีเหตุผลมากขึ้น เมื่อมองโปรแกรมรวมก่อน จะช่วยให้การอ่านบทวิเคราะห์คู่ต่อคู่ในหัวข้อถัดไปมีความเข้าใจลึกและเชื่อมโยงกันมากยิ่งขึ้น

คู่ที่ มุมแดง ค่าย/สังกัด พิกัด (ปอนด์) ชั่งได้ / สถานะ มุมน้ำเงิน ค่าย/สังกัด พิกัด (ปอนด์) ชั่งได้ / สถานะ หมายเหตุ
1 เรสซิ่ง บี.เค.เรสวิ่ง 100.0 ชั่งได้ ตามพิกัด ฟ้าสดใส โตโยต้าระยอง 100.0 ชั่งได้ ตามพิกัด มวยเยาวชนเปิดหัวพิกัด 100 ป.
2 เหนือพยัคฆ์ ศิษย์เหนือธรณี 100.0 ชั่งได้ ตามพิกัด ฟ้าสีทอง โตโยต้าระยอง 100.0 ชั่งได้ ตามพิกัด มวยเด็กสายบู๊–สายเชิงสูสี
3 ก้าวไกล ศักดิ์แสนพันธ์ 100.0 ชั่งได้ ตามพิกัด บุญฤทธิ์ เจ.เอฟ.พุ่มพันธ์ม่วง 100.0 ชั่งได้ ตามพิกัด มวยสร้างอนาคตพิกัด 100 ปอนด์
4 ฟ้าเพชร โตโยต้าระยอง 100.0 ชั่งได้ ตามพิกัด เพชรบ่อทอง ส.ศิลารักษ์ 100.0 ชั่งได้ ตามพิกัด จบบล็อก 100 ป. ด้วยคู่เพชรชนเพชร
5 เพชรสองภาค จิตรเมืองนนท์ 123.0 ชั่งได้ ตามพิกัด ใจเพชร พชรยิม 123.0 ชั่งได้ ตามพิกัด มวยพิกัด 123 ป. ดาวรุ่งค่ายใหญ่
6 จอมเดช ไซรัสยิม 133.5 ชั่งได้ ขาด 0.5 ปอนด์ เพชรธีระ อ.วุฒิพงษ์ 133.5 ชั่งได้ ตามพิกัด รุ่นใหญ่สุดของบัตร 133.5 ป.
7 แบงค์ชาติ ทต.กุดน้ำใส 112.0 ชั่งได้ ตามพิกัด พลังเพชร ศิษย์ซ้อบี 112.0 ชั่งได้ ตามพิกัด มวยรุ่นกลางพิกัด 112 ปอนด์
8 ฟ้าแลบ โตโยต้าระยอง 129.0 ชั่งได้ ลด 0.7 ปอนด์ บักโจ้ ศิษย์คุณมะ 129.0 ชั่งได้ ขาด 1.0 ปอนด์ คู่ปิดบัตร พิกัด 129 ปอนด์ เดือดแน่

จากตารางจะเห็นได้ว่าศึกมวยดีวิถีไทย รอบนี้ให้ความสำคัญอย่างมากกับมวยเยาวชนและมวยพิกัดเล็กในช่วงต้นบัตร ด้วยการวางคู่ 1–4 ในพิกัด 100 ปอนด์ทั้งหมด และทุกฝ่ายชั่งได้ตามพิกัดโดยไม่มีใครลดหรือขาด
แสดงให้เห็นถึงการควบคุมร่างกายที่ดีของนักชกรุ่นเล็กและการจัดการที่ดีของค่ายต้นสังกัด ขณะที่คู่ 5–8 เริ่มขยับสู่พิกัดใหญ่ขึ้นทั้ง 123, 133.5, 112 และ 129 ปอนด์ ซึ่งช่วยให้แผงกลางและท้ายบัตรมีน้ำหนักของแรงปะทะมากขึ้นตามลำดับ โดยเฉพาะคู่ 6 ที่จอมเดช ขาด 0.5 ปอนด์ และเพชรธีระ ตามพิกัด และคู่ปิดอย่างฟ้าแลบที่ลด 0.7 ปอนด์ เจอกับบักโจ้ที่ขาดถึง 1.0 ปอนด์ จึงเป็นประเด็นด้านสภาพร่างกายที่น่าจับตามองเป็น พิเศษในช่วงท้ายรายการ

วิเคราะห์ภาพรวมโครงสร้างบัตร ศึกมวยดีวิถีไทย

โครงสร้างบัตรของศึกมวยดีวิถีไทย ครั้งนี้สะท้อนให้เห็นถึงแนวคิดการจัดมวยที่เน้น “การเล่าเรื่อง” ผ่านพิกัดและคู่มวยอย่างชัดเจน ช่วงต้นบัตรถูกออกแบบให้เป็นพื้นที่ของมวยเด็กและมวยเยาวชนในพิกัด 100 ปอนด์ต่อเนื่อง 4 ไฟต์ ซึ่งนอกจากจะทำให้การเปิดรายการมีความคึกคักจากเกมเร็วและการแลกอาวุธแบบไม่ยั้ง ยังช่วยให้แฟนมวยได้เห็นแนวทางการสร้างมวยจากค่ายต่าง ๆ เช่น บี.เค.เรสวิ่ง โตโยต้าระยอง ศักดิ์แสนพันธ์ และเจ.เอฟ.พุ่มพันธ์ม่วง ที่วางระบบฝึกเยาวชนของตนเองไว้รองรับเวทีทีวีแล้วอย่างจริงจัง

ในช่วงกลางบัตร ตั้งแต่คู่ที่ 5 เป็นต้นไป โทนของศึกมวยดีวิถีไทย จะค่อย ๆ เปลี่ยนไปสู่มวยรุ่นกลางและรุ่นใหญ่ ซึ่งให้ภาพของนักมวยที่มีประสบการณ์และความแข็งแรงมากขึ้น เพชรสองภาค จิตรเมืองนนท์ ในพิกัด 123 ปอนด์เจอกับ ใจเพชร พชรยิม เป็นคู่ที่บ่งบอกถึงการปะทะกันของสองค่ายสายสร้างชื่ออย่างจิตรเมืองนนท์และพชรยิม ตามด้วยคู่ใหญ่สุด จอมเดช ไซรัสยิม ปะทะ เพชรธีระ อ.วุฒิพงษ์ ในพิกัด 133.5 ปอนด์ ก่อนจะปรับลงมาเป็นรุ่น 112 ปอนด์ และปิดท้ายด้วยรุ่น 129 ปอนด์ที่มีการลดและขาดน้ำหนักของทั้งสองฝ่าย ทั้งหมดนี้ทำให้การ์ดของศึกมวยดีวิถีไทย มีจังหวะการขึ้น–ลงของความเร็วและแรงชนที่ดูสนุกตั้งแต่ต้นจนจบ ไม่ทำให้ผู้ชมรู้สึกเบื่อหรือหนักไปในทางใดทางหนึ่งเกินไป

วิเคราะห์คู่มวย ศึกมวยดีวิถีไทย คู่ต่อคู่

เมื่อทำความเข้าใจโครงสร้างบัตรแล้ว สิ่งที่แฟนมวยส่วนใหญ่มักมองหาต่อก็คือการวิเคราะห์คู่มวยในศึกมวยดีวิถีไทย รอบนี้อย่างละเอียด เพื่อใช้เป็นแนวทางในการประเมินเกม ทั้งในมุมของการเชียร์และการดูเชิงมวยอย่างลึกซึ้ง โดยในส่วนนี้เราจะไล่วิเคราะห์คู่มวยทั้ง 8 คู่ตามลำดับการชก เจาะไปที่สไตล์ของแต่ละฝ่าย ผลของน้ำหนักชั่งจริง และความเป็นไปได้ของรูปเกมในแต่ละไฟต์ ซึ่งช่วยให้การชมมวยในวันจริงมีมิติและความสนุกเพิ่มขึ้นอย่างแน่นอน

คู่ที่ 1 เรสซิ่ง บี.เค.เรสวิ่ง vs ฟ้าสดใส โตโยต้าระยอง (พิกัด 100 ปอนด์)

คู่เปิดหัวของศึกมวยดีวิถีไทย เป็นการพบกันระหว่าง เรสซิ่ง จากค่าย บี.เค.เรสวิ่ง และ ฟ้าสดใส จากค่าย โตโยต้าระยอง ในพิกัด 100 ปอนด์ โดยทั้งคู่ชั่งได้ตามพิกัดแบบไม่ลดไม่ขาด สะท้อนว่าระบบการควบคุมน้ำหนักของค่ายทั้งสองมีความรัดกุมและนักมวยมีวินัยสูง การเป็นมวยเด็ก–มวยเยาวชนในพิกัดเล็ก ประกอบกับชื่อ “เรสซิ่ง” ที่ชวนให้นึกถึงความเร็ว และ “ฟ้าสดใส” ที่ให้ภาพมวยสายเทคนิคไม่เกร็ง ทำให้แฟนมวยพอคาดเดาได้ว่าไฟต์นี้จะเป็นเกมเร็วที่เน้นทั้งความคล่องตัวและความแม่นยำของอาวุธอย่างแน่นอน

เรสซิ่ง บี.เค.เรสวิ่ง น่าจะเป็นมวยเดินหน้าออกหมัด–แข้งแบบชุดใหญ่ บุกต่อเนื่องเพื่อกดดันให้ฟ้าสดใสต้องถอยรับตลอดเวลา ในขณะที่ฟ้าสดใส โตโยต้าระยอง อาจมาในสไตล์มวยฝีมือ เน้นตั้งรับดักเตะ ดักต่อย และอาศัยการถีบสกัดในจังหวะที่คู่ชกเข้ามา ไฟต์นี้จึงเป็นการทดสอบว่าระหว่างมวยเดินบู๊แบบเครื่องแรงกับมวยตั้งรับเชิงสวยแบบ “วิถีไทย” ฝั่งใดจะทำได้ดีกว่ากัน หากเรสซิ่งหลุดจังหวะและเปิดการ์ดบ่อยเกินไป ฟ้าสดใสก็พร้อมจะเก็บคะแนนด้วยอาวุธที่ชัดเจน แต่หากฟ้าสดใสโดนกดดันมากจนตั้งตัวไม่ทัน รูปเกมก็อาจไหลเข้าทางมวยเดินบู๊อย่างเต็มตัวเช่นกัน

คู่ที่ 2 เหนือพยัคฆ์ ศิษย์เหนือธรณี vs ฟ้าสีทอง โตโยต้าระยอง (พิกัด 100 ปอนด์)

คู่ที่สองของศึกมวยดีวิถีไทย ยังคงอยู่ในพิกัด 100 ปอนด์ โดยเป็นการพบกันระหว่าง เหนือพยัคฆ์ ศิษย์เหนือธรณี และ ฟ้าสีทอง โตโยต้าระยอง ซึ่งทั้งคู่ก็ชั่งได้ตามพิกัดเช่นเดียวกับคู่แรก แต่ความแตกต่างอยู่ที่สไตล์ของชื่อและสายค่าย เหนือพยัคฆ์ให้ภาพมวยใต้ใจสู้ สายมวยดุที่พร้อมเดินเข้าหาไม่เกรงอันตราย ขณะที่ฟ้าสีทอง จากค่ายโตโยต้าระยอง เป็นอีกหนึ่งตัวแทนของค่ายที่วางระบบมวยเยาวชนมาแล้วหลายคนในบัตรนี้ การที่ทั้งสองมาจากค่ายที่มีแนวทางต่างกันในเชิงการฝึกและเน้นจุดแข็งต่างกัน ทำให้ไฟต์นี้มีความน่าสนใจเป็นพิเศษในฐานะแมตช์อัปที่เจอกันระหว่าง “เสือเหนือ” กับ “ฟ้าสายทอง”

เหนือพยัคฆ์ ศิษย์เหนือธรณี น่าจะมาในรูปแบบมวยเดินทำ พยายามสร้างแรงกดดันด้วยการปล่อยหมัดและเตะอย่างต่อเนื่อง หวังบั่นทอนคู่ชกตั้งแต่ต้นยก ส่วนฟ้าสีทอง โตโยต้าระยอง แม้อาจไม่ได้เดินบู๊หนักเท่าฝั่งแดง แต่มีโอกาสใช้จุดเด่นด้านการจัดระเบียบร่างกายและเชิงมวยที่คมกริบคอยดักจู่โจมในจังหวะสวย ๆ ไฟต์นี้น่าจะเป็นการต่อสู้ที่ดูแล้ว “สนุกตา” เพราะฝั่งหนึ่งเดินเข้าทำตลอด ในขณะที่อีกฝั่งรอใช้ไหวพริบในการโต้กลับ หากฟ้าสีทองสามารถคุมความกดดันได้และไม่ถูกลากให้เล่นเกมแลกจนเสียแท็กติก ก็มีโอกาสหงายไพ่ชนะคะแนนเหนือเหนือพยัคฆ์ได้เช่นกัน

คู่ที่ 3 ก้าวไกล ศักดิ์แสนพันธ์ vs บุญฤทธิ์ เจ.เอฟ.พุ่มพันธ์ม่วง (พิกัด 100 ปอนด์)

คู่ที่สาม ยังคงอยู่ในพิกัด 100 ปอนด์เช่นเดียวกัน เป็นไฟต์ระหว่าง ก้าวไกล ศักดิ์แสนพันธ์ และ บุญฤทธิ์ เจ.เอฟ.พุ่มพันธ์ม่วง ชื่อ “ก้าวไกล” บ่งบอกเป้าหมายของค่ายว่าต้องการผลักดันนักมวยรายนี้ให้เดินหน้าไปไกลในเส้นทางมวยไทย ขณะที่ บุญฤทธิ์ จากค่ายเจ.เอฟ.พุ่มพันธ์ม่วง ก็เป็นอีกหนึ่งมวยดาวรุ่งที่ค่ายตั้งใจสร้างขึ้นมาอย่างเป็นระบบ การวางคู่นี้บนศึกมวยดีวิถีไทย จึงเหมือนเป็นการจับสองมวยเป้าหมายสูงมาวัดกันในสังเวียนว่ารายใดพร้อมก้าวขึ้นไปสู่ระดับต่อไปมากกว่ากัน

เชิงมวยของก้าวไกล ศักดิ์แสนพันธ์ น่าจะเน้นการเดินเข้าทำอย่างต่อเนื่อง พร้อมใช้แข้งและหมัดเป็นเครื่องมือหลักในการปิดระยะและบีบให้คู่ชกต้องเล่นเกมรับ ในขณะที่ บุญฤทธิ์ เจ.เอฟ.พุ่มพันธ์ม่วง มีโอกาสจะเป็นมวยที่มีความสมดุลระหว่างเกมรุกและเกมรับ สามารถตั้งรับแล้วโต้กลับ หรือเดินบุกในช่วงที่อีกฝ่ายชะลอเกม ไฟต์นี้ในศึกมวยดีวิถีไทย จึงเป็นไฟต์ที่แฟนมวยควรใช้เป็นจุดสังเกตถึง “ทัศนคติ” ของนักชกรุ่นใหม่ทั้งสองคน ว่าจะกล้าและเฉียบแค่ไหนเมื่อต้องเจอกับคู่ต่อสู้ที่มีเป้าหมายคล้ายกันบนเส้นทางมวยไทยอาชีพ

คู่ที่ 4 ฟ้าเพชร โตโยต้าระยอง vs เพชรบ่อทอง ส.ศิลารักษ์ (พิกัด 100 ปอนด์)

คู่ที่สี่ในพิกัด 100 ปอนด์ ระหว่าง ฟ้าเพชร โตโยต้าระยอง กับ เพชรบ่อทอง ส.ศิลารักษ์ เป็นคู่ที่น่าสนใจทั้งในด้านชื่อและในด้านที่มาของสองค่าย เพราะชื่อของทั้งสองมีคำว่า “เพชร” เหมือนกัน สื่อถึงการเป็นมวยมีแววจากสายตาค่ายต้นสังกัด ฝั่งโตโยต้าระยองส่งมวยขึ้นบัตรศึกมวยดีวิถีไทย ถึงสามคนในวันเดียว (ฟ้าสดใส ฟ้าสีทอง ฟ้าเพชร และยังมีฟ้าแลบในคู่ท้าย) แสดงให้เห็นว่านี่คือเวทีหลักที่ค่ายใช้ผลักดันมวยเยาวชน ส่วน ส.ศิลารักษ์ เองก็เป็นค่ายภูธรที่มีชื่อเสียงในสายมวยแข็ง–มวยบู๊ที่พร้อมชนทุกไฟต์

ฟ้าเพชร โตโยต้าระยอง น่าจะเล่นมวยเชิงที่มีความพร้อมทั้งด้านร่างกายและจังหวะมวยตามแบบฉบับของค่ายที่มีระบบการฝึกที่ทันสมัย ด้าน เพชรบ่อทอง ส.ศิลารักษ์ อาจเน้นความแข็งแรง อาศัยการเดินบุกและการบี้ในวงในเพื่อให้คู่ชกต้องเจอกับแรงกดดันตลอดสามยก หากฟ้าเพชรสามารถควบคุมระยะและไม่ปล่อยให้ถูกจับบี้ในวงในบ่อยเกินไป ก็มีโอกาสเล่นงานด้วยลูกเตะและหมัดโต้กลับอย่างมีประสิทธิภาพ แต่ถ้าเพชรบ่อทองสามารถบีบให้เกมต้องมาตัดสินกันในลูกประทะระยะใกล้ ก็อาจทำให้ไฟต์นี้จบลงด้วยผลคะแนนเอียงไปฝั่งมวยบู๊แข็งแรงได้เช่นกัน

คู่ที่ 5 เพชรสองภาค จิตรเมืองนนท์ vs ใจเพชร พชรยิม (พิกัด 123 ปอนด์)

คู่ที่ห้าในพิกัด 123 ปอนด์ เป็นการยกโทนของศึกมวยดีวิถีไทย ให้เข้าสู่มวยพิกัดกลางอย่างชัดเจน ระหว่าง เพชรสองภาค จากค่ายจิตรเมืองนนท์ และ ใจเพชร จากพชรยิม เป็นการเจอกันของสองค่ายที่มีชื่อเสียงและสายสัมพันธ์ในวงการมวยไทยมาอย่างยาวนาน เพชรสองภาคในมุมแดงมาจากค่ายเจ้าบ้าน ซึ่งมีมาตรฐานการฝึกและการดูแลมวยในระดับสูง ขณะที่ใจเพชรจากพชรยิม เป็นตัวแทนของค่ายที่เน้นการพัฒนานักชกอย่างต่อเนื่อง การแมตช์อัปแบบนี้จึงทำให้ไฟต์นี้ถูกมองว่าเป็นหนึ่งในคู่ที่คุณภาพเชิงมวยสูงที่สุดในบัตรนี้

เพชรสองภาคจึงอาจเป็นมวยที่มีความครบเครื่อง เน้นการยืนระยะ ใช้แข้งและหมัดทำงานเป็นหลัก และพร้อมเข้าวงในเพื่อใช้อาวุธเข่า–ศอกเมื่อมีโอกาส ส่วนใจเพชร พชรยิม ก็ไม่ใช่มวยที่ควรถูกมองข้าม เพราะจากชื่อและพื้นฐานของค่าย คาดได้ว่าจะสู้ด้วยหัวใจเกินร้อยและมาพร้อมเชิงมวยที่พัฒนามาแล้วในระดับหนึ่ง รูปเกมน่าจะเป็นการยื้อกันทั้งระยะกลางและวงใน ใครควบคุมจังหวะและพื้นที่ได้ดีกว่า มีโอกาสเก็บคะแนนสะสมจนชัดเจนเมื่อครบสามยก โดยเฉพาะในช่วงท้ายไฟต์ที่ความอึด ความแม่นยำ และหัวใจนักสู้จะเป็นตัวตัดสินมากกว่าพละกำลังดิบ

คู่ที่ 6 จอมเดช ไซรัสยิม vs เพชรธีระ อ.วุฒิพงษ์ (พิกัด 133.5 ปอนด์)

คู่ที่หกในพิกัด 133.5 ปอนด์ เป็นรุ่นใหญ่ที่สุดของศึกมวยดีวิถีไทย รอบนี้ ระหว่าง จอมเดช จากไซรัสยิม และ เพชรธีระ จาก อ.วุฒิพงษ์ โดยข้อมูลระบุว่า จอมเดชชั่งน้ำหนักขาด 0.5 ปอนด์ ขณะที่เพชรธีระเข้าพิกัดเต็ม 133.5 ปอนด์ ในแง่สรีระ เพชรธีระน่าจะมีความแน่นเป๊ะของมวลกล้ามเนื้อ ขณะที่จอมเดชอาจเบากว่าเล็กน้อยแต่มีความคล่องตัวเพิ่มขึ้น การเจอกันในรุ่นนี้จึงมีทั้งความหนักและความเร็วผสมกันอย่างน่าสนใจ และยังเป็นไฟต์ที่แฟนมวยคาดหวังว่าจะได้เห็นการปะทะที่ดุเดือดและรายละเอียดเชิงมวยที่จัดเต็ม

จอมเดช ไซรัสยิม แม้จะขาดน้ำหนักเล็กน้อย แต่หากเป็นการคุมตามแผนของทีม ก็อาจตั้งใจให้ตัวเองเคลื่อนไหวได้เร็วและยืนแลกในยกท้ายได้โดยไม่หมดแรงเร็ว ในขณะที่ เพชรธีระ อ.วุฒิพงษ์ นั้น การชั่งได้ตามพิกัดเป๊ะ ทำให้ได้เปรียบด้านความแน่นของร่างกายเมื่อต้องปะทะในช่วงวงในหรือในจังหวะปิดเกม ไฟต์นี้จึงอยู่ที่ว่าจอมเดชจะใช้ความคล่องตัวหลบหลีกและโต้กลับได้ดีแค่ไหน และเพชรธีระจะสามารถจับทางแล้วบีบให้เกมมาอยู่ในระยะอันตรายของตนเองได้หรือไม่ หากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งพลาดเปิดช่องให้โดนอาวุธหนัก ๆ เต็ม ๆ ในรุ่นนี้ ก็มีโอกาสเห็นจังหวะ “เกือบนับ” หรือเปลี่ยนทิศทางของเกมอย่างฉับพลัน

คู่ที่ 7 แบงค์ชาติ ทต.กุดน้ำใส vs พลังเพชร ศิษย์ซ้อบี (พิกัด 112 ปอนด์)

คู่ที่เจ็ดในพิกัด 112 ปอนด์ ระหว่าง แบงค์ชาติ ทต.กุดน้ำใส กับ พลังเพชร ศิษย์ซ้อบี เป็นการกลับมาสู่รุ่นกลางที่มีความสมดุลทั้งด้านความเร็วและความแรงพอเหมาะ ทั้งสองชั่งได้ตามพิกัด 112 ปอนด์เต็ม แสดงให้เห็นถึงการเตรียมตัวที่ดีจากทั้งสองค่าย ชื่อแบงค์ชาติ ชวนให้นึกถึงมวยที่มีความแข็งแกร่งและมั่นคง ขณะที่ พลังเพชร แสดงให้เห็นว่าค่ายหวังให้เป็นนักชกที่มีทั้งแรงและความคมของอาวุธ การเจอกันของสองมุมนี้จึงมีโอกาสเป็นไฟต์ที่ทั้งบู๊และเทคนิคจัดเต็มในแบบศึกมวยดีวิถีไทย

ในเชิงมวย แบงค์ชาติ ทต.กุดน้ำใส น่าจะเดินสาดแข้งและหมัดด้วยความมั่นใจ พยายามดันเกมให้เป็นฝ่ายคุมจังหวะและพื้นที่กลางเวที ในขณะที่ พลังเพชร ศิษย์ซ้อบี อาจใช้สไตล์มวยที่ผสมระหว่างการเดินเก็บแต้มด้วยแข้งและการรอจังหวะหมัดชุดเข้าใส่เพื่อเรียกเสียงเชียร์และคะแนนจากกรรมการ ไฟต์นี้มีโอกาสเป็นเกมรุกสองฝ่ายที่สลับกันทำและรับ ไม่ใช่เกมตั้งรับตลอด จึงเหมาะเป็นไฟต์ในช่วงเกือบท้ายบัตรที่ปลุกอารมณ์ผู้ชมให้พร้อมก่อนเข้าสู่คู่ปิด ซึ่งเป็นหน้าที่สำคัญของตำแหน่งคู่ 7 บนการ์ดนี้

คู่ที่ 8 ฟ้าแลบ โตโยต้าระยอง vs บักโจ้ ศิษย์คุณมะ (พิกัด 129 ปอนด์)

คู่ปิดท้ายของศึกมวยดีวิถีไทย 7 ธันวาคม 2568 คือไฟต์พิกัด 129 ปอนด์ระหว่าง ฟ้าแลบ โตโยต้าระยอง และ บักโจ้ ศิษย์คุณมะโดยฟ้าแลบชั่งได้ลด 0.7 ปอนด์ จากพิกัด 129 ปอนด์ แสดงว่าตัวจริงอาจมีรูปร่างใหญ่กว่าเล็กน้อยและต้องรีดลงมาก่อนชั่ง ขณะที่บักโจ้ขาดไป 1.0 ปอนด์ ทำให้ตัวเบากว่าพิกัดจริงพอสมควร ความต่างนี้น่าจะมีผลต่อรูปเกม กล่าวคือ ฟ้าแลบจะได้เปรียบด้านความแน่นของร่างกายเมื่อปะทะ ขณะที่บักโจ้จะได้ความคล่องตัวและความรู้สึก “เบา” ในการเคลื่อนไหวและออกอาวุธ

ในเชิงสไตล์ ฟ้าแลบ โตโยต้าระยอง จากชื่อมีแนวโน้มเป็นมวยที่ใช้ความเร็วและการเข้าทำที่ฉับไว ทั้งหมัดและแข้ง ผสมกับการเดินทำที่มีความหนักแน่นของพิกัดรุ่นนี้ ส่วน บักโจ้ ศิษย์คุณมะ น่าจะเป็นมวยที่มีความดุดันในแบบของนักสู้จากค่ายสายบู๊ พร้อมจะแลกในทุกจังหวะหากเห็นว่าได้เปรียบ ไฟต์นี้ของศึกมวยดีวิถีไทย จึงไม่เพียงแต่ทำหน้าที่ปิดรายการในเชิงเทคนิคเท่านั้น แต่ยังเป็นไฟต์ที่สำคัญในเชิงอารมณ์ เพราะมีโอกาสจะจบลงด้วยการแลกอาวุธหนัก ๆ จนแฟนมวยลุกขึ้นมาเฮกันทั้งสนามในช่วงท้ายรายการ

บทบาทของค่ายมวยในศึกมวยดีวิถีไทย 7 ธันวาคม 2568

จากรายชื่อนักมวยทั้งหมดบนการ์ด จะเห็นได้ว่าศึกมวยดีวิถีไทย รอบนี้มีค่ายมวยใหญ่และยิมต่าง ๆ เข้าร่วมอย่างหลากหลาย โตโยต้าระยองถือเป็นค่ายหลักที่ส่งมวยขึ้นถึง 4 คน (ฟ้าสดใส ฟ้าสีทอง ฟ้าเพชร และฟ้าแลบ) แสดงให้เห็นว่านี่คือเวทีสร้างชื่อเยาวชนของค่ายอย่างแท้จริง ในขณะที่เวทีเจ้าบ้านอย่างจิตรเมืองนนท์ ส่งเพชรสองภาคขึ้นร่วมบัตร ซึ่งเป็นตัวแปรสำคัญของโทนมวยพิกัด 123 ปอนด์ ด้านค่ายพชรยิม ไซรัสยิม อ.วุฒิพงษ์ ทต.กุดน้ำใส ศิษย์ซ้อบี ส.ศิลารักษ์ เจ.เอฟ.พุ่มพันธ์ม่วง และศักดิ์แสนพันธ์ ก็ล้วนร่วมเติมสีสันให้กับรายการอย่างมีบทบาทชัดเจน

บทบาทของค่ายมวยเหล่านี้ในศึกมวยดีวิถีไทย ไม่ได้จบลงแค่การส่งนักมวยคนหนึ่งขึ้นชกเพียงไฟต์เดียว แต่ยังหมายถึงการนำเสนอแนวคิดการฝึก ผลิตผลของระบบค่าย และแนวทางการสร้างนักชกของตนให้แฟนมวยได้สัมผัส เมื่อมวยของค่ายใดทำผลงานได้ดีต่อเนื่องจากหลายบัตร ชื่อของค่ายนั้นก็จะเริ่มเข้ามาอยู่ในความสนใจของแฟนมวยและผู้จัดมากขึ้น ดังนั้น การที่ศึกมวยดีวิถีไทย เปิดเวทีให้ค่ายต่าง ๆ ได้นำเสนอผลงานของตนเองอย่างสม่ำเสมอ จึงเป็นผลดีต่อการพัฒนาคุณภาพมวยไทยทั้งในระดับเยาวชนและระดับอาชีพอย่างแท้จริง

สรุปความน่าดูของศึกมวยดีวิถีไทย 7 ธันวาคม 2568

โดยภาพรวมแล้ว ศึกมวยดีวิถีไทย ในวันอาทิตย์ที่ 7 ธันวาคม 2568 ณ เวทีมวยจิตรเมืองนนท์ อตก.3 นนทบุรี คือบัตรมวยที่มีความครบถ้วนในหลายมิติ ตั้งแต่การเน้นมวยเยาวชนพิกัด 100 ปอนด์ถึง 4 คู่ ที่เปิดโอกาสให้เด็ก ๆ จากค่ายต่าง ๆ ได้พิสูจน์ตนเองบนเวทีทีวี
ไปจนถึงมวยรุ่นกลางและใหญ่ในคู่หลังที่มีความเข้มข้นด้านแรงปะทะและเชิงมวยมากขึ้นตามลำดับ
เมื่อผสมเข้ากับการจัดคู่ที่เน้นพิกัดเท่ากันระหว่างสองมุม การควบคุมน้ำหนักที่ส่วนใหญ่ทำได้ดี และบทบาทของค่ายมวยชื่อดังที่เข้าร่วมอย่างพร้อมหน้า
จึงทำให้บัตรนี้เป็นอีกหนึ่งวันอาทิตย์ที่แฟนมวยไทยไม่ควรพลาดอย่างยิ่ง

สำหรับผู้ที่ตั้งใจจะรับชมศึกมวยดีวิถีไทย ไม่ว่าจะเดินทางไปยังเวทีจิตรเมืองนนท์ หรือรับชมผ่านหน้าจอทีวีหรือออนไลน์ การเตรียมตัวด้วยการรู้โปรแกรมและอ่านการวิเคราะห์เช่นในบทความนี้
จะช่วยให้การดูมวยมีมิติมากขึ้น เห็นทั้งจุดแข็งจุดอ่อนของแต่ละคู่ ได้เรียนรู้แนวทางสร้างมวยของแต่ละค่าย และสามารถเชียร์ได้อย่างมีเหตุผลมากกว่าการลุ้นตามอารมณ์เพียงอย่างเดียว
ศึกมวยดีวิถีไทย จึงยังคงทำหน้าที่เป็น “เวทีสะท้อนวิถีมวยไทยแท้” ที่ทั้งสืบสานรากเหง้าและผลักดันคนรุ่นใหม่เข้าสู่แสงไฟของวงการมวยไทยได้อย่างน่าชื่นชมในทุก ๆ สัปดาห์