ศึกมวยไทย 7 สี ในวันอาทิตย์ที่ 7 ธันวาคม 2568 ณ เวทีมวยช่อง 7 สี ถือเป็นอีกหนึ่งบัตรมวยที่แฟนมวยทั่วประเทศจับตามองกันอย่างใกล้ชิด ด้วยความที่รายการศึกมวยไทย 7 สี เป็นหนึ่งในเวทีมวยทีวีที่ครองใจแฟนกำปั้นมาหลายยุคหลายสมัย การันตีความมันส์จากสไตล์มวยเดินชน ดุดัน เร้าใจ และเต็มไปด้วยคู่มวยที่คัดมาแล้วว่าสูสีและพร้อมใจกันแลกอาวุธบนสังเวียน โดยบัตรในสัปดาห์นี้ประกอบด้วยมวยทั้งหมด 6 คู่ ตั้งแต่พิกัด 106 ปอนด์ไปจนถึงพิกัด 132 ปอนด์ ซึ่งครอบคลุมตั้งแต่มวยเล็กฝีมือจัดไปจนถึงมวยรุ่นกลางที่แรงปะทะหนักหน่วง สมศักดิ์ศรีรายการมวยทีวีเบอร์ต้นของเมืองไทยอย่างแท้จริง
ศึกมวยไทย 7 สี รอบนี้เริ่มชกตั้งแต่เวลา 14.30 น. ตามมาตรฐานเวลาออกอากาศของช่อง 7 สีในวันอาทิตย์ช่วงบ่าย แฟนมวยที่รอชมผ่านหน้าจอสามารถเตรียมตัวเปิดทีวีนั่งลุ้นไปพร้อม ๆ กันทั่วประเทศ ในขณะที่แฟนมวยบางส่วนอาจได้โอกาสเข้าชมบรรยากาศจริงในสตูดิโอเวทีมวยช่อง 7 สี ซึ่งขึ้นชื่อเรื่องบรรยากาศเชียร์ที่ใกล้ชิดและเสียงเฮแบบสะใจทุกยก การออกแบบการ์ดในครั้งนี้มีการเรียงคู่มวยตามพิกัดน้ำหนักให้ไล่ระดับอย่างน่าสนใจ ทำให้ศึกมวยไทย 7 สี วันอาทิตย์นี้มีความลื่นไหลของเกมตั้งแต่คู่เปิดหัวไปจนถึงคู่ส่งท้ายอย่างลงตัว
ตารางโปรแกรมมวย ศึกมวยไทย 7 สี 7 ธันวาคม 2568
ตารางด้านล่างนี้แสดงคู่มวยทั้งหมดในศึกมวยไทย 7 สี ประจำวันที่ 7 ธันวาคม 2568 ณ เวทีมวยช่อง 7 สี อย่างครบถ้วน ทั้งชื่อมวยมุมแดงมุมน้ำเงิน สังกัดค่าย พิกัดการชก และสถานะน้ำหนักชั่งจริงว่าตามพิกัด ขาด หรือมีการลดน้ำหนักเล็กน้อย ข้อมูลเหล่านี้สำคัญอย่างยิ่งสำหรับสายวิเคราะห์มวย เพราะสะท้อนให้เห็นภาพคร่าว ๆ ของสภาพร่างกายก่อนขึ้นเวทีของนักชกแต่ละฝ่าย เมื่อประกอบเข้ากับการวิเคราะห์เชิงสไตล์การชกในส่วนถัดไป ก็จะช่วยให้แฟนมวยดูศึกมวยไทย 7 สี ได้อย่างมีมิติมากกว่าการลุ้นแพ้ชนะเพียงอย่างเดียว
| คู่ที่ | มุมแดง | ค่าย/สังกัด | พิกัด (ปอนด์) | ชั่งได้ / สถานะ | มุมน้ำเงิน | ค่าย/สังกัด | พิกัด (ปอนด์) | ชั่งได้ / สถานะ | หมายเหตุ |
|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
| 1 | พายุทราย | โชติบางแสน | 130.0 | ชั่งได้ ขาด 0.6 ปอนด์ | ฉัตรชัยน้อย | ลักกี้บันเทิง | 130.0 | ชั่งได้ ตามพิกัด | รุ่น 130 ปอนด์ เกมเปิดหัวแรงปะทะสูง |
| 2 | เพชรเมืองเหนือ | ต๋องขาวเชียงใหม่ | 132.0 | ชั่งได้ ขาด 0.4 ปอนด์ | ชามะนาว | ม.ราชภัฏอุบล | 132.0 | ชั่งได้ ตามพิกัด | มวยเหนือชนอีสาน พิกัด 132 ป. |
| 3 | ก้องธรณี | ท็อปแฟรี่ยิม | 115.0 | ชั่งได้ ขาด 0.4 ปอนด์ | ดาวินชี่ | ลักกี้บันเทิง | 115.0 | ชั่งได้ ตามพิกัด | มวยกลางรุ่น 115 ปอนด์ เชิงจัดทั้งคู่ |
| 4 | เก้าล้าน | สจ.แดนระยอง | 128.0 | ชั่งได้ ตามพิกัด | สมิงแดง | เบสชะอวด | 128.0 | ชั่งได้ ลด 0.4 ปอนด์ | มวยบู๊พิกัด 128 ปอนด์เดือดจัด |
| 5 | เทพวารี | ศิษย์ อบต.จ้อน | 108.0 | ชั่งได้ ขาด 0.4 ปอนด์ | เสืออรัญ | ส.อรัญชัย | 108.0 | ชั่งได้ ตามพิกัด | รุ่น 108 ป. มวยเล็กจัดจ้าน |
| 6 | ฤทธิ์ | ส.พงษ์อมร | 106.0 | ชั่งได้ ตามพิกัด | เพชรยะลา | ต.บัวมาศ | 106.0 | ชั่งได้ ตามพิกัด | มวยปิดบัตรพิกัด 106 ปอนด์ ยืนระยะมันส์แน่ |
เพียงดูจากตารางโปรแกรมก็เห็นได้ชัดว่าศึกมวยไทย 7 สี รอบนี้มีการวางโครงสร้างบัตรที่น่าสนใจ เริ่มต้นด้วยรุ่น 130 และ 132 ปอนด์ในสองคู่แรกเพื่อเรียกเสียงเฮจากแรงปะทะของมวยรุ่นกลางค่อนไปทางใหญ่ จากนั้นจึงปรับน้ำหนักลงมาเป็นรุ่น 115 ปอนด์ในคู่ที่สาม เติมความเร็วและจังหวะมวยให้เข้มข้นขึ้น ก่อนจะกลับขึ้นไปสู่รุ่น 128 ปอนด์ในคู่ที่สี่ ซึ่งเป็นหนึ่งในคู่ที่คาดว่ามีโอกาสเป็นคู่ชูโรงของรายการ ส่วนคู่ที่ห้าและหกในพิกัด 108 และ 106 ปอนด์ ก็ทำหน้าที่เสริมโค้งท้ายด้วยเกมมวยเล็กที่รวดเร็วและใช้เทคนิคเชิงมวยอย่างเต็มที่ ทำให้ศึกมวยไทย 7 สี บัตรนี้มีความสมดุลทั้งด้านพิกัดและความหลากหลายของรูปแบบเกม
วิเคราะห์ภาพรวมโครงสร้างบัตร ศึกมวยไทย 7 สี
เมื่อพิจารณาโครงสร้างบัตรศึกมวยไทย 7 สี รอบวันที่ 7 ธันวาคม 2568 จะเห็นได้ว่าผู้จัดได้วางลำดับคู่มวยอย่างมีชั้นเชิง เพื่อให้การรับชมมีความลื่นไหลตั้งแต่ต้นจนจบ การนำมวยรุ่น 130 และ 132 ปอนด์มาเปิดบัตร ทำให้แฟนมวยเริ่มรายการด้วยความรู้สึก “ถึงใจ” จากแรงปะทะที่แตกต่างจากมวยเล็กอย่างชัดเจน ตามมาด้วยคู่ 115 ปอนด์ที่ช่วยเร่งจังหวะเกมให้เร็วขึ้น และยิ่งเติมความเข้มด้วยคู่ 128 ปอนด์ในตำแหน่งกลางบัตร ที่มักถูกเลือกให้เป็นไฟต์เดือดเรียกเรตติ้ง จากนั้นการลดพิกัดลงมาสู่รุ่น 108 และ 106 ปอนด์ในคู่ท้าย คือการจบรายการด้วยมวยที่มีความคล่องตัวสูง ดูสนุก และมักเต็มไปด้วยเทคนิคและจังหวะมวยที่ละเอียดลึกซึ้ง
โครงสร้างเช่นนี้เหมาะอย่างมากสำหรับรายการมวยทีวีอย่างศึกมวยไทย 7 สี เพราะตอบโจทย์การรักษาอารมณ์คนดูให้อยู่ในระดับสูงตลอดเวลา ไม่ปล่อยให้ช่วงใดช่วงหนึ่งของบัตรมีโทนช้าเกินไปหรือหนักจนคนดูรู้สึกอึดอัด นอกจากนี้ยังช่วยให้แฟนมวยได้เห็นมวยจากค่ายต่าง ๆ ในพิกัดที่เหมาะสมกับรูปร่างและสไตล์ของนักชกตนเองอีกด้วย เมื่อมองในมุมของการพัฒนานักมวย การจัดในลักษณะนี้ช่วยให้มวยแต่ละคนได้แสดงของอย่างเต็มที่ในระดับน้ำหนักที่เหมาะสมกับร่างกายและรูปแบบการชกของตัวเองอย่างแท้จริง
วิเคราะห์ผลชั่งน้ำหนักและผลต่อรูปเกม ศึกมวยไทย 7 สี
ข้อมูลน้ำหนักชั่งจริงของศึกมวยไทย 7 สี รอบนี้ยังเผยให้เห็นรายละเอียดที่น่าสนใจหลายจุด โดยมุมแดงอย่างพายุทราย เพชรเมืองเหนือ ก้องธรณี และเทพวารี ต่างชั่งได้ “ขาดพิกัด” ในระดับ 0.4–0.6 ปอนด์ ในขณะที่คู่ต่อสู้ในมุมน้ำเงินของพวกเขาส่วนใหญ่ชั่งได้ตามพิกัดเต็ม ยกเว้นกรณีสมิงแดงที่ลดน้ำหนัก 0.4 ปอนด์ และบักโจ้ที่ขาด 1.0 ปอนด์ในคู่ปิดบัตร ความแตกต่างเล็กน้อยนี้สะท้อนว่าฝั่งที่ขาดน้ำหนักจะมีความคล่องตัวและเบาสบายมากขึ้น แต่ก็ต้องยอมรับว่าในจังหวะปะทะหนัก ๆ อาจเสียเปรียบเล็กน้อยด้านแรงชนเมื่อเทียบกับคู่แข่งที่ตามพิกัดเต็มหรือมีการลดไม่มาก
อย่างไรก็ตาม การขาดหรือลดในระดับไม่เกิน 1 ปอนด์ถือว่ายังอยู่ในกรอบที่มวยอาชีพสามารถจัดการได้โดยไม่ทำให้ร่างกายเสียสมดุลจนเกินไป ศึกมวยไทย 7 สี รอบนี้จึงถือว่ามีความสมดุลค่อนข้างดีในเชิงตัวเลข ไม่ได้มีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งต้องลดน้ำหนักหนักจนเสี่ยงแผ่วในยกท้ายอย่างชัดเจน แต่สำหรับไฟต์ที่มีต่างกันเกิน 0.5 ปอนด์ เช่น พายุทรายที่ขาด 0.6 ปอนด์เจอกับฉัตรชัยน้อยที่ตามพิกัด หรือบักโจ้ที่ขาด 1.0 ปอนด์เจอกับฟ้าแลบที่ลด 0.7 ปอนด์ ก็ยังเป็นประเด็นเล็ก ๆ ที่สายวิเคราะห์มวยสามารถหยิบมาใช้ดูแนวโน้มในช่วงยกสามได้ว่าฝ่ายไหนมีแนวโน้มยืนระยะได้ดีกว่ากันในช่วงที่แรงเริ่มตก
วิเคราะห์คู่มวย ศึกมวยไทย 7 สี คู่ต่อคู่
เมื่อเข้าใจโครงสร้างและน้ำหนักชั่งจริงของบัตรศึกมวยไทย 7 สี แล้ว ต่อไปคือส่วนสำคัญที่แฟนมวยหลายคนสนใจมากที่สุด นั่นคือการวิเคราะห์คู่มวยแบบละเอียดทีละไฟต์ ในส่วนนี้เราจะนำเสนอแนวโน้มของเกมการชก สไตล์ของนักมวยแต่ละคน และผลจากการขาดหรือตามพิกัดน้ำหนักที่อาจส่งผลต่อรูปเกมบนเวที แม้บทวิเคราะห์จะไม่ใช่คำทำนายผลแบบฟันธง แต่จะช่วยให้แฟนมวยมีภาพรวมในหัวว่าต้องจับตาจุดไหนเป็นพิเศษเมื่อดูศึกมวยไทย 7 สี ผ่านหน้าจอหรือในสนามจริง
คู่ที่ 1 พายุทราย โชติบางแสน vs ฉัตรชัยน้อย ลักกี้บันเทิง (พิกัด 130 ปอนด์)
ในคู่เปิดหัวของศึกมวยไทย 7 สี เป็นการเจอกันในพิกัด 130 ปอนด์ระหว่าง พายุทราย โชติบางแสน กับ ฉัตรชัยน้อย ลักกี้บันเทิง โดยพายุทรายขาดพิกัด 0.6 ปอนด์ ขณะที่ฉัตรชัยน้อยชั่งได้เต็ม 130 ปอนด์พอดี ทำให้ในมุมสรีระ ฉัตรชัยน้อยอาจได้เปรียบเล็กน้อยในแง่แรงปะทะและการยืนชน แต่ในทางกลับกัน พายุทรายก็จะมีความคล่องและน้ำหนักตัวที่เบากว่าเล็กน้อย ซึ่งช่วยให้การเคลื่อนที่และการสาดอาวุธต่อเนื่องทำได้สะดวกขึ้น
ชื่อของพายุทรายยังบ่งบอกถึงสไตล์การชกที่ไม่น่าจะนิ่ง เผลอ ๆ อาจมาแบบเดินบี้ด้วยความเร็วและความหลากหลายของอาวุธอย่างต่อเนื่องทุกยก
ฉัตรชัยน้อย ลักกี้บันเทิง มุมน้ำเงินในไฟต์นี้ เป็นมวยในสายทีวีที่ค่ายมักเน้นเรื่องการทำเกมให้ดูสนุกและชัดเจนในสายตากรรมการ ทั้งการเดินและการปล่อยอาวุธที่คมชัด ดังนั้นไฟต์นี้จึงน่าจะเป็นการปะทะกันของสองสไตล์ที่ค่อนข้างใกล้เคียงกันคือ “เดินแลกเดิน” แต่ต่างกันที่รายละเอียดและความต่างด้านน้ำหนักเล็กน้อย ถ้าพายุทรายสามารถใช้ความคล่องเล่นงานฉัตรชัยน้อยด้วยการเข้าทำเร็ว–ออกไว และไม่โดนจับล็อกในระยะประชิดบ่อยจนเกินไป ก็มีโอกาสพลิกผลในสายตาเซียนมวยได้ไม่ยาก ขณะที่ฉัตรชัยน้อยหากอาศัยความแน่นและลูกหนักคอยหยุดความเร็วของพายุทรายได้ตั้งแต่ต้น ก็จะทำให้เกมเข้าทางตัวเองอย่างชัดเจนขึ้นเมื่อเข้าสู่ยกสาม
คู่ที่ 2 เพชรเมืองเหนือ ต๋องขาวเชียงใหม่ vs ชามะนาว ม.ราชภัฏอุบล (พิกัด 132 ปอนด์)
คู่ที่สองในพิกัด 132 ปอนด์ เป็นการเจอกันของสองค่ายสายภูมิภาคอย่าง เพชรเมืองเหนือ ต๋องขาวเชียงใหม่ ฝั่งมุมแดง และ ชามะนาว ม.ราชภัฏอุบล ฝั่งมุมน้ำเงิน เพชรเมืองเหนือชั่งได้ขาดพิกัด 0.4 ปอนด์ ในขณะที่ชามะนาวเข้าพิกัดเต็ม 132 ปอนด์ สัญญาณนี้บอกได้คร่าว ๆ ว่าเพชรเมืองเหนือจะมีข้อได้เปรียบด้านความคล่องและความเบาสบายของร่างกาย ขณะที่ชามะนาวมีความแน่นและมวลกล้ามเนื้อเต็มพิกัดมากกว่าเล็กน้อย ในรุ่นนี้ ร่างกายของทั้งสองจะถูกทดสอบทั้งเรื่องสมรรถภาพและความคมของอาวุธเป็นพิเศษ เพราะถือเป็นพิกัดที่ต้องเดินเกมเร็วและชนแรงไปพร้อม ๆ กัน
เพชรเมืองเหนือ ต๋องขาวเชียงใหม่ น่าจะใช้จุดเด่นของมวยแดนเหนือที่มีเชิงฝีมือดีและเตะได้สวยในการเข้า–ออกระยะกลาง ใช้จังหวะเตะและต่อยหนึ่ง–สองผสมกับการถ่ายเทน้ำหนักที่ดีเพื่อเก็บคะแนน ส่วนชามะนาว ม.ราชภัฏอุบล ด้วยการที่ชั่งเต็มพิกัด มีโอกาสเน้นเกมกดดันมากกว่า ใช้หมัดและเข่าค่อย ๆ เบียดให้เพชรเมืองเหนือเสียดุลช่วงท้ายยก เกมนี้จึงน่าจะเป็นการต่อสู้ที่ไม่ได้บู๊อย่างบ้าคลั่งทุกวินาที แต่จะเป็นเกมที่ใช้สมองและการคุมสภาพร่างกายเข้ามามีบทบาทมาก แฟนมวยที่ชอบดูมวยเชิงแต่ยังอยากเห็นการชนแบบถึงเนื้อถึงตัวก็ไม่ควรพลาดไฟต์นี้ในศึกมวยไทย 7 สี รอบนี้
คู่ที่ 3 ก้องธรณี ท็อปแฟรี่ยิม vs ดาวินชี่ ลักกี้บันเทิง (พิกัด 115 ปอนด์)
คู่ที่สามในพิกัด 115 ปอนด์ ระหว่าง ก้องธรณี ท็อปแฟรี่ยิม กับ ดาวินชี่ ลักกี้บันเทิง เป็นไฟต์รุ่นกลางที่ช่วยเปลี่ยนอารมณ์จากรุ่นใหญ่ต้นบัตรมาสู่รุ่นที่มีความเร็วเพิ่มขึ้น ก้องธรณีชั่งได้ขาดพิกัด 0.4 ปอนด์ ในขณะที่ดาวินชี่เข้าพิกัดเต็ม 115 ปอนด์ ความต่างในระดับนี้แม้จะไม่มาก แต่ก็พอให้ฝ่ายแดงได้เปรียบในด้านการเคลื่อนที่และการสลับมุมเข้า–ออก ขณะที่ฝ่ายน้ำเงินอาจได้เปรียบด้านแรงกระแทกเล็กน้อยเมื่อต้องยืนแลกกันตรง ๆ ชื่อ “ก้องธรณี” ให้ภาพมวยที่หนักแน่น ส่วน “ดาวินชี่” ให้อารมณ์มวยที่คาดเดายากและอาจมีลูกเล่นหลากหลาย
ก้องธรณี ท็อปแฟรี่ยิม อาจใช้แผนเล่นมวยยืนระยะ ยืนมั่นคงและเน้นการเข้าทำแบบชัดเจนทีละชุด เพื่อแสดงความเหนือชั้นทั้งในเรื่องพละกำลังและการคุมเกม ขณะที่ดาวินชี่ ลักกี้บันเทิง มีโอกาสใช้ความหลากหลายของอาวุธและการเคลื่อนที่เป็นอาวุธหลัก เช่น การสลับเตะซ้าย–ขวา การโยกหลบแล้วโต้สวนด้วยหมัด หรือการใช้ศอกในระยะประชิด ไฟต์นี้ในศึกมวยไทย 7 สี จึงอาจกลายเป็นไฟต์สไตล์เชิงผสมที่มีทั้งจังหวะหัวหมุนและช่วงเวลาที่ทั้งสองฝ่ายเลือกชนกันเต็ม ๆ ซึ่งผู้ชมต้องจับตาว่าใครจะอ่านเกมของอีกฝ่ายได้ไวกว่ากันในยกสองและยกสาม
คู่ที่ 4 เก้าล้าน สจ.แดนระยอง vs สมิงแดง เบสชะอวด (พิกัด 128 ปอนด์)
คู่ที่สี่ในพิกัด 128 ปอนด์ เป็นการเจอกันของสองมวยสายบู๊จากค่ายต่างภูมิภาคคือ เก้าล้าน สจ.แดนระยอง และ สมิงแดง เบสชะอวด ด้านเก้าล้านชั่งได้ตามพิกัดเต็ม 128 ปอนด์ ทำให้มีความแน่นของร่างกายเต็มที่ ขณะที่สมิงแดงต้องลดน้ำหนักลง 0.4 ปอนด์ ในรุ่นนี้ การลดเล็กน้อยอาจทำให้สมิงแดงมีความกระชับของกล้ามเนื้อและความฟิตที่ดีขึ้น แต่ก็ต้องดูว่าการลดนั้นส่งผลต่อแรงปลายหรือไม่ ชื่อของทั้งสองมุมบ่งบอกชัดเจนว่าทั้งคู่ไม่ได้มาเพื่อเล่นเกมรับอย่างเดียวแน่นอน และไฟต์นี้มีแนวโน้มสูงที่จะกลายเป็นคู่เดือดของบัตร
เก้าล้านอาจเน้นใช้แข้งขวาตัดลำตัวผสมกับหมัดหนัก ๆ เพื่อกดดันสมิงแดงไม่ให้ขยับได้อย่างอิสระ ขณะที่สมิงแดง เบสชะอวด ก็มีแนวโน้มจะเดินชนเข้าใส่แบบไม่เกรงใจชื่อของคู่ชก ใช้ลูกเตะและหมัดสวนในทุกจังหวะที่เห็นช่องเพื่อแลกความได้เปรียบ ศึกมวยไทย 7 สี มักมีชื่อเสียงเรื่องมวยคู่กลางที่ไม่ค่อยถอยกันมากนัก และคู่เก้าล้าน–สมิงแดง คือหนึ่งในคู่ที่มีโอกาสจะตอบโจทย์ความคาดหวังนี้ของแฟนมวยได้อย่างเต็มที่ ใครยืนระยะได้ครบสามยกโดยไม่แสดงอาการแผ่วให้เห็นก่อน มีโอกาสสูงที่จะถูกยกมือเป็นผู้ชนะในไฟต์อันดุเดือดนี้
คู่ที่ 5 เทพวารี ศิษย์ อบต.จ้อน vs เสืออรัญ ส.อรัญชัย (พิกัด 108 ปอนด์)
คู่ที่ห้าในพิกัด 108 ปอนด์ ระหว่าง เทพวารี ศิษย์ อบต.จ้อน และ เสืออรัญ ส.อรัญชัย เป็นมวยเล็กที่มีความน่าสนใจในมิติของชื่ออย่างชัดเจน เทพวารี ให้ภาพมวยสายเทคนิคที่เน้นความพลิ้วไหวดังสายน้ำ ส่วนเสืออรัญ สื่อถึงความดุดันและการไล่ล่าแบบไม่เกรงกลัวคู่ชก โดยเทพวารีชั่งขาดพิกัด 0.4 ปอนด์ ในขณะที่เสืออรัญชั่งได้เต็ม 108 ปอนด์พอดี ทำให้เสืออรัญได้เปรียบเล็ก ๆ ด้านแรงปะทะในขณะที่เทพวารีได้เปรียบด้านความคล่องเบา
เทพวารีอาจวางแผนชกในรูปแบบมวยฝีมือเคลื่อนที่ เน้นหลอกจังหวะเตะและหมัดแล้วถอยออก ไม่เปิดโอกาสให้เสืออรัญเข้าใกล้ตัวแบบง่าย ๆ ขณะที่เสืออรัญ ส.อรัญชัย ต้องพยายามเดินติด ใช้หมัดซ้าย–ขวาและเข่าในจังหวะปะทะเพื่อหยุดเกมเคลื่อนที่ของเทพวารีให้ได้ หากเทพวารีเคลื่อนที่ได้อย่างไหลลื่นและไม่ถูกจับล็อกในระยะประชิดมากเกินไป เกมจะเอียงไปทางมุมแดง แต่หากเสืออรัญสามารถตัดเวที ปิดมุม และบังคับให้เทพวารีต้องยืนแลกในจุดที่ตัวเองถนัดได้ ไฟต์นี้ก็อาจกลายเป็นอีกหนึ่งคู่เดือดที่ต้องลุ้นกันจนหมดยกสุดท้ายของศึกมวยไทย 7 สี รอบนี้
คู่ที่ 6 ฤทธิ์ ส.พงษ์อมร vs เพชรยะลา ต.บัวมาศ (พิกัด 106 ปอนด์)
คู่ปิดท้ายของศึกมวยไทย 7 สี เป็นการเจอกันในพิกัด 106 ปอนด์ระหว่าง ฤทธิ์ ส.พงษ์อมร และ เพชรยะลา ต.บัวมาศ ทั้งสองชั่งได้ตามพิกัดพอดี ทำให้รูปเกมมีความสมดุลในแง่ของน้ำหนักและสรีระอย่างแท้จริง ฤทธิ์ จากสาย ส.พงษ์อมร มักให้ภาพมวยที่มีความรัดกุม เน้นวิธีออกอาวุธอย่างมีแบบแผน ขณะที่เพชรยะลา จากค่าย ต.บัวมาศ สะท้อนสไตล์มวยสายใต้ที่คุ้นเคยดีในเรื่องความดุดันและความอึด ไฟต์นี้จึงน่าจะเป็นการปิดท้ายบัตรด้วยการปะทะกันของสองมวยที่พร้อมชนแบบไม่กลัวเสียรูปมวย และน่าจะทิ้งความมันส์เอาไว้ให้แฟนมวยจดจำได้ไม่แพ้คู่ไหนในบัตรเดียวกัน
ทางด้านฤทธิ์อาจเน้นสาดแข้งและหมัดอย่างมีจังหวะ จัดชุดอาวุธแบบ “เข้าแล้วคุ้ม” เพื่อไม่ให้เสียแรงฟรี ส่วนเพชรยะลาอาจเดินบี้ในระยะประชิด ใช้ลูกเข่าและหมัดมัดตัวคู่ชกให้เจองานหนักทุกยก
หากฤทธิ์สามารถคุมระยะและไม่ปล่อยให้เพชรยะลาเดินเข้ามาในระยะถนัดของลูกหนักมากเกินไป ก็มีโอกาสเก็บคะแนนและลากเกมให้เข้าทางมวยฝีมือ
ในทางกลับกัน หากเพชรยะลาประสบความสำเร็จในการปิดระยะและบีบให้ฤทธิ์ต้องยืนชนในระยะสั้นบ่อย ๆ ผลลัพธ์ก็อาจแตกต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง
ทำให้คู่ปิดศึกมวยไทย 7 สี ครั้งนี้เต็มไปด้วยความน่าลุ้นในทุกจังหวะจนกว่าจะได้ยินเสียงระฆังสุดท้าย
บทบาทของค่ายมวยในศึกมวยไทย 7 สี รอบนี้
จากรายชื่อคู่ชกทั้งหมดในศึกมวยไทย 7 สี รอบวันที่ 7 ธันวาคม 2568 จะเห็นได้ว่ามีค่ายมวยและสังกัดต่าง ๆ เข้าร่วมอย่างหลากหลาย ทั้งค่ายภาคกลาง ภาคเหนือ ภาคอีสาน และภาคใต้
เช่น โชติบางแสน ลักกี้บันเทิง ต๋องขาวเชียงใหม่ ม.ราชภัฏอุบล ท็อปแฟรี่ยิม สจ.แดนระยอง เบสชะอวด ศิษย์ อบต.จ้อน ส.อรัญชัย ส.พงษ์อมร และ ต.บัวมาศ
การได้เห็นค่ายเหล่านี้ขึ้นเวทีในรายการศึกมวยไทย 7 สี ซึ่งมีฐานผู้ชมกว้างขวางทั่วประเทศ ช่วยเพิ่มโอกาสให้นักมวยในสังกัดได้รับการรู้จักมากขึ้น และช่วยให้แฟนมวยเองมีมุมมองต่อความกว้างขวางของวงการมวยไทยในระดับภูมิภาค
นอกจากนี้ การปรากฏตัวของค่ายลักกี้บันเทิงและโตโยต้าระยองหลายครั้งในบัตรเดียว ยังสะท้อนให้เห็นถึงการใช้ศึกมวยไทย 7 สี เป็นเวที “ปล่อยของ” ของค่ายทีวีและค่ายสปอนเซอร์อย่างจริงจัง
เพราะแต่ละไฟต์ไม่ได้เป็นแค่การแข่งขันในสังเวียน แต่เป็นการลงทุนสร้างชื่อของนักมวยที่หวังจะเติบโตบนเวทีทีวีต่อไป
ในมุมนี้ ศึกมวยไทย 7 สี จึงไม่ได้เป็นเพียงความบันเทิงของแฟนกีฬาแต่เป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนธุรกิจมวยไทยและการพัฒนาบุคลากรในสายนี้ให้มีอนาคตที่ชัดเจนยิ่งขึ้น
สรุปความน่าดูของศึกมวยไทย 7 สี วันอาทิตย์ที่ 7 ธันวาคม 2568
เมื่อมองในภาพรวมของศึกมวยไทย 7 สี รอบวันอาทิตย์ที่ 7 ธันวาคม 2568 จะพบว่าบัตรนี้มีความน่าสนใจทั้งในแง่ของการจัดพิกัด การเลือกคู่มวย และการกระจายตัวของสังกัดค่ายต่าง ๆ
ตั้งแต่คู่เปิดหัวที่พายุทรายพบฉัตรชัยน้อย ไปจนถึงคู่ปิดที่ฤทธิ์พบเพชรยะลา ล้วนแล้วแต่เป็นคู่ที่สามารถสร้างความสนุกให้กับผู้ชมได้ในแบบของตัวเอง
ทั้งความดุดันของมวยรุ่น 130–132 ปอนด์ ความเร็วของมวย 108–106 ปอนด์ และความสูสีของคู่มวยที่มีน้ำหนักชั่งจริงต่างกันเพียงเล็กน้อย ทำให้ทุกไฟต์มีรายละเอียดให้แฟนมวยได้วิเคราะห์และลุ้นกันอย่างมีอารมณ์ร่วม
สำหรับแฟนมวยที่ต้องการดูมวยทีวีแบบ “ถึงอารมณ์มวยไทยแท้” ศึกมวยไทย 7 สี คือคำตอบที่ต่อเนื่องมาหลายสิบปี และบัตรในวันที่ 7 ธันวาคม 2568 นี้ก็เป็นอีกหนึ่งตัวอย่างที่ดีว่ารายการยังคงรักษามาตรฐานทั้งเรื่องคุณภาพคู่มวยและความบันเทิงได้อย่างเหนียวแน่น
หากเตรียมตัวด้วยการอ่านโปรแกรมและการวิเคราะห์ล่วงหน้า เช่นบทความนี้ การดูมวยก็จะไม่ใช่แค่การลุ้นแพ้ชนะ แต่จะกลายเป็นการชมศิลปะการต่อสู้หนึ่งเดียวของไทยอย่างมีความเข้าใจและสนุกมากขึ้นในทุกยกบนสังเวียนช่อง 7 สี
