ศึกมวยไทย 7 สี ประจำวันอาทิตย์ที่ 16 พฤศจิกายน 2568 ณ เวทีมวยช่อง 7 สี ถือเป็นหนึ่งในรายการมวยไทยประจำสัปดาห์ที่แฟนมวยชาวไทยเฝ้ารอคอย เพราะเป็นรายการที่สร้างนักมวยดาวรุ่งมากมายให้กลายเป็นยอดฝีมือของวงการมาแล้วหลายรุ่น อีกทั้งยังเป็นเวทีที่เปิดพื้นที่ให้นักชกหน้าใหม่ได้แสดงฝีมือ พร้อมพิสูจน์ความสามารถของตนเองต่อหน้าผู้ชมทั้งในสนามและผู้ชมทางบ้านที่รับชมการถ่ายทอดสดอย่างต่อเนื่อง ด้วยระบบการจัดคู่ที่น่าสนใจและครบทุกอารมณ์ ตั้งแต่เกมเชิง การดวลอาวุธหนัก ไปจนถึงเกมเร็วในพิกัดเล็ก จึงทำให้เวทีมวยไทย 7 สี กลายเป็นรายการมวยที่มีเอกลักษณ์และได้รับความนิยมสูงสุดในประเทศ วันนี้มีการแข่งขันทั้งหมด 6 คู่ ซึ่งแต่ละคู่มีผลการชั่งน้ำหนักที่ใกล้เคียงพิกัดอย่างสมบูรณ์ ช่วยให้แฟนมวยสามารถคาดหวังถึงความมันและคุณภาพของทุกไฟต์ได้เป็นอย่างดี

โปรแกรมมวยศึกมวยไทย 7 สี 16 พฤศจิกายน 2568 – โปรแกรมการแข่งขันและวิเคราะห์คู่มวยอย่างละเอียดจากเวทีช่อง 7 สี

ตารางการแข่งขัน ศึกมวยไทย 7 สี 16 พฤศจิกายน 2568

คู่ที่ ฝ่ายแดง ฝ่ายน้ำเงิน พิกัด ชั่งได้ (แดง) ชั่งได้ (น้ำเงิน)
1 ก้องสนั่น ส.เทียนโพธิ์ พลายพยัคฆ์ ทต.พลับพลานารายณ์ 113 ปอนด์ 113.4 112.6
2 เดชเพชร เพชรยินดีอะคาเดมี่ เกาะเต่า โกลิตะมวยไทย 123 ปอนด์ 123.0 122.2
3 ก้องศึก ศิษย์สารวัตรเสือ อเล็กซ์ จิตรเมืองนนท์ 145 ปอนด์ 145.0 145.0
4 อนันตชัย ลานนาวอเตอร์ไซด์ ยอดเหล็กแหลม ต.พิทักษ์ชัย 113 ปอนด์ 113.2 113.0
5 ดงพญาเย็น ป.อนุศาสน์ กล้าศึก ยูโสบคาน ต.ละจู 113 ปอนด์ 114.2 113.4
6 เหนือธรณี สจ.เล็กเมืองนนท์ เพชรตะวัน ส.โชคมีชัย 108 ปอนด์ 108.2 108.2

วิเคราะห์มวย ศึกมวยไทย 7 สี ประจำวันที่ 16 พฤศจิกายน 2568 แบบละเอียด

คู่ที่ 1: ก้องสนั่น ส.เทียนโพธิ์ vs พลายพยัคฆ์ ทต.พลับพลานารายณ์ (พิกัด 113 ปอนด์)

แดง น้ำเงิน
ก้องสนั่น – 113.4 ปอนด์ พลายพยัคฆ์ – 112.6 ปอนด์

คู่เปิดรายการของศึกมวยไทย 7 สี วันนี้เป็นการพบกันระหว่างก้องสนั่น นักมวยฟอร์มสดจากค่าย ส.เทียนโพธิ์ ปะทะกับพลายพยัคฆ์ นักมวยจิตใจสู้ตายจากค่าย ทต.พลับพลานารายณ์ ซึ่งทั้งคู่มีประสบการณ์มากพอสมควรในเวทีมาตรฐาน ก้องสนั่นชั่งได้ 113.4 ปอนด์ เกินพิกัดเล็กน้อยแต่ยังอยู่ในเกณฑ์การแข่งขัน จึงไม่ได้เสียเปรียบมากนัก ขณะที่พลายพยัคฆ์ชั่งได้ 112.6 ปอนด์ ทำให้มีความไวและคล่องตัวที่พร้อมจะสร้างความได้เปรียบในจังหวะสวนกลับ จุดแข็งของก้องสนั่นคือการเตะทำลายจังหวะและเดินหน้ากดดันแบบไม่ถอย แต่พลายพยัคฆ์มีความเนียนในการออกอาวุธและเลือกช่วงเข้าออกที่เฉียบคม หากพลายพยัคฆ์รักษาระยะและใช้จังหวะสองได้ดี มีโอกาสสร้างคะแนนนำช่วงยกกลาง ส่วนก้องสนั่นต้องระวังจังหวะสวนกลับที่คมของฝ่ายน้ำเงินเพราะหากพลาดอาจเสียรูปเกมได้ง่ายมาก


คู่ที่ 2: เดชเพชร เพชรยินดีอะคาเดมี่ vs เกาะเต่า โกลิตะมวยไทย (พิกัด 123 ปอนด์)

แดง น้ำเงิน
เดชเพชร – 123.0 ปอนด์ เกาะเต่า – 122.2 ปอนด์

คู่ที่สองเป็นการพบกันของเดชเพชร นักชกจากเพชรยินดีอะคาเดมี่ ที่มีชื่อเสียงด้านฝีมือและการออกอาวุธครบเครื่อง ปะทะกับเกาะเต่า นักมวยจากโกลิตะมวยไทยที่ขึ้นชื่อเรื่องหมัดหนักและจังหวะเข้าออกที่รวดเร็ว เดชเพชรชั่งได้ตามพิกัด 123.0 ปอนด์อย่างแม่นยำ สะท้อนถึงการเตรียมตัวที่ดีเยี่ยม ส่วนเกาะเต่าชั่งได้น้อยกว่าเล็กน้อยที่ 122.2 ปอนด์ ทำให้ความคล่องตัวและความเร็วอาจเป็นอาวุธสำคัญในไฟต์นี้ จุดแข็งของเดชเพชรคือความแน่นอนของแข้งขวาและการป้องกันที่รอบคอบ ส่วนเกาะเต่ามักเน้นการเดินเร็วและใช้หมัดกดดันคู่ชก ไฟต์นี้จะวัดกันว่าฝ่ายแดงจะสามารถตั้งกำแพงรับและคุมจังหวะให้ได้หรือไม่ หากทำได้เกาะเต่าอาจเสียคะแนน แต่ถ้าเกาะเต่าเร่งจังหวะบีบตั้งแต่ต้น ความกดดันอาจทำให้เดชเพชรออกอาวุธได้ไม่ถนัดเช่นกัน


คู่ที่ 3: ก้องศึก ศิษย์สารวัตรเสือ vs อเล็กซ์ จิตรเมืองนนท์ (พิกัด 145 ปอนด์)

แดง น้ำเงิน
ก้องศึก – 145.0 ปอนด์ อเล็กซ์ – 145.0 ปอนด์

คู่ที่สามเป็นคู่มวยรุ่นใหญ่ที่หลายคนจับตามอง ก้องศึกและอเล็กซ์ต่างเป็นนักมวยที่มีพละกำลังสูงและมีอาวุธหนักทั้งคู่ ทั้งสองชั่งน้ำหนักได้ตามพิกัดแบบไม่มีเกินแม้แต่น้อย สะท้อนให้เห็นถึงความฟิตพร้อมลงทำศึกอย่างเต็มที่ ก้องศึกเป็นมวยฝีมือดี มีลูกเตะหนักและการออกหมัดต่อเนื่อง ส่วนอเล็กซ์ได้รับการยอมรับว่าเป็นหนึ่งในนักมวยต่างชาติที่ปรับตัวให้เข้ากับมวยไทยได้ดีที่สุด มีความแข็งแรงและใจสู้ ไฟต์นี้มีโอกาสสูงที่จะเป็นการแลกอาวุธกันอย่างเข้มข้นตั้งแต่ต้นเกม หากฝ่ายใดสามารถสร้างจังหวะเข้าทำอย่างต่อเนื่องและออกแข้งได้แม่นยำกว่า จะเป็นผู้คุมสถานการณ์ได้ในช่วงยกท้าย จึงเป็นคู่ที่แฟนมวยห้ามพลาดเด็ดขาด


คู่ที่ 4: อนันตชัย ลานนาวอเตอร์ไซด์ vs ยอดเหล็กแหลม ต.พิทักษ์ชัย (พิกัด 113 ปอนด์)

แดง น้ำเงิน
อนันตชัย – 113.2 ปอนด์ ยอดเหล็กแหลม – 113.0 ปอนด์

อนันตชัยและยอดเหล็กแหลมต่างเป็นมวยประสบการณ์ดีที่มีความครบเครื่องทั้งสองคน อนันตชัยชั่งได้ 113.2 ปอนด์ แม้จะเกินพิกัดเล็กน้อยแต่ไม่ถึงกับทำให้เสียความได้เปรียบ ส่วนยอดเหล็กแหลมชั่งได้ตามพิกัด 113 ปอนด์พอดี จุดแข็งของอนันตชัยคือการเดินหน้าเข้าทำและลูกเตะที่แรง ส่วนยอดเหล็กแหลมมีทักษะการเคลื่อนตัวที่ดีและเป็นมวยเชิงเนียน เกมนี้น่าจะออกมาเป็นการดวลเทคนิคที่ต้องพึ่งจังหวะและการอ่านเกมเป็นหลัก หากอนันตชัยสามารถทลายกำแพงและบีบเข้าได้ ก็มีโอกาสสร้างความได้เปรียบ แต่ถ้ายอดเหล็กแหลมสามารถรักษาระยะและคุมเกมด้วยแข้งยาวได้ เกมอาจกลับมาทางน้ำเงินทันที


คู่ที่ 5: ดงพญาเย็น ป.อนุศาสน์ vs กล้าศึก ยูโสบคาน ต.ละจู (พิกัด 113 ปอนด์)

แดง น้ำเงิน
ดงพญาเย็น – 114.2 ปอนด์ กล้าศึก – 113.4 ปอนด์

ดงพญาเย็นเป็นนักมวยที่มีพละกำลังดีและมีความอึดสูง แต่น้ำหนักที่ชั่งได้ 114.2 ปอนด์ถือว่าเกินพิกัดพอสมควร แม้จะสามารถลดยอมได้ แต่ก็อาจมีผลต่อความฟิตในช่วงท้ายเกม ขณะที่กล้าศึกชั่งได้ 113.4 ปอนด์อยู่ในระดับที่พร้อมแข่งขันเต็มที่ กล้าศึกมีจังหวะหมัดหนักและเป็นมวยบู๊ที่เดินเข้าหาไม่เกรงกลัวคู่ชก หากดงพญาเย็นยังคงใช้ความใหญ่และแรงปะทะได้ อาจสร้างความได้เปรียบในช่วงต้นเกม แต่ถ้าความฟิตไม่ถึงและปล่อยให้กล้าศึกเร่งเกมจังหวะสอง มีโอกาสที่ฝ่ายน้ำเงินจะพลิกเอาชนะด้วยการเตะทำลายจังหวะและหมัดต่อเนื่องที่เฉียบคมกว่า


คู่ที่ 6: เหนือธรณี สจ.เล็กเมืองนนท์ vs เพชรตะวัน ส.โชคมีชัย (พิกัด 108 ปอนด์)

แดง น้ำเงิน
เหนือธรณี – 108.2 ปอนด์ เพชรตะวัน – 108.2 ปอนด์

คู่สุดท้ายของวันนี้ถือเป็นคู่ที่มีความสูสีสูงเพราะทั้งเหนือธรณีและเพชรตะวันต่างชั่งได้ 108.2 ปอนด์เท่ากัน สะท้อนให้เห็นถึงความพร้อมและการเตรียมตัวอย่างดี เหนือธรณีมีสไตล์การชกที่มั่นคง ใช้แข้งยาวและลูกเตะต่อเนื่องคุมเกม ส่วนเพชรตะวันเป็นนักชกที่มีความเร็วสูง สามารถออกหมัดเป็นชุดและใช้แรงปะทะเข้าทำเป็นจุดเด่น ไฟต์นี้จะเป็นการวัดกันว่าใครจะสามารถกำหนดจังหวะต้นเกมได้ดีกว่า หากเหนือธรณีสามารถออกแข้งคุมระยะได้ดี จะทำให้เพชรตะวันเข้าไม่ถึงตัว แต่ถ้าเพชรตะวันเร่งจังหวะและใช้ความเร็วเข้าโจมตีทันที อาจสร้างคะแนนนำได้ตั้งแต่ยกแรก ทำให้คู่นี้เป็นคู่ปิดท้ายที่น่าดูอย่างยิ่ง


สรุปภาพรวม ศึกมวยไทย 7 สี วันนี้

ศึกมวยไทย 7 สี ประจำวันอาทิตย์ที่ 16 พฤศจิกายน 2568 ถือเป็นอีกหนึ่งวันที่มีคุณภาพทุกคู่ นักชกจากทั้ง 12 ค่ายมีความพร้อมเต็มที่ รายละเอียดการชั่งน้ำหนักที่ใกล้เคียงพิกัดทั้งหมดช่วยให้มั่นใจได้ว่าเกมการชกวันนี้จะสนุก ดุเดือด และเต็มไปด้วยความเข้มข้นของศิลปะมวยไทย ตั้งแต่คู่แรกจนถึงคู่สุดท้าย จุดเด่นของรายการในวันนี้คือการจับคู่ที่มีความสมดุลด้านน้ำหนักและระดับฝีมือ ทำให้โอกาสแพ้ชนะขึ้นอยู่กับแผนการชกและประสบการณ์ล้วน ๆ แฟนมวยสามารถคาดหวังการต่อสู้ที่มีความหลากหลาย ทั้งสายบู๊ สายเชิง และสายออกอาวุธคม เป็นอีกหนึ่งวันของศึกมวยไทย 7 สี ที่ห้ามพลาดโดยเด็ดขาด