ไฮไลท์ฟุตบอล เชลซี vs ลิเวอร์พูล คืนวันเสาร์ที่ 4 ตุลาคม 2025 ที่สนามสแตมฟอร์ด บริดจ์ กลายเป็นเกมที่แฟนบอลทั่วโลกต้องพูดถึง เมื่อ “สิงห์บลูส์” เชลซี เฉือนเอาชนะ “หงส์แดง” ลิเวอร์พูล ในช่วงทดเวลาบาดเจ็บนาที 90+6 จากประตูของดาวรุ่งบราซิล เอสเตเวา วิลเลี่ยน ส่งผลให้ลิเวอร์พูลแพ้สามนัดติดรวมทุกรายการ และเสียตำแหน่งจ่าฝูงให้กับอาร์เซน่อลอย่างเป็นทางการ

เกมนี้ไม่เพียงแต่มีความหมายในเชิงคะแนนเท่านั้น แต่ยังสะท้อนให้เห็นถึงสภาพจิตใจ ความยืดหยุ่นทางแท็กติก และความมุ่งมั่นของเชลซีที่สามารถพลิกสถานการณ์กลับมาคว้าชัยในนาทีสุดท้าย ขณะเดียวกัน ลิเวอร์พูลของเจอร์เก้น คล็อปป์ ต้องเจอกับคำถามใหญ่เกี่ยวกับความมั่นคงทางจิตใจในช่วงเวลาสำคัญ

ไฮไลท์ฟุตบอล เชลซี vs ลิเวอร์พูล

ยิ่งเล่น ยิ่งได้ลุ้น เดิมพันขั้นต่ำ 20 บาท
U-QUIZ ทายผลลุ้น ucoin ทายถูกครบ3ข้อ รับฟรี20 ucoin (เล่นได้ 3 รอบต่อสัปดาห์)”

โปรแกรมฟุตบอล วันที่ 2 ตุลาคม 2568

ครึ่งแรก : เชลซีขึ้นนำไวจากไคเซโด้ หงส์แดงยังหาจังหวะไม่ลงตัว

นาทีที่ 14 – ไคเซโด้ปลดล็อกเกมด้วยลูกยิงสุดสวย

เปิดเกมมาไม่ถึง 15 นาที แฟนบอลเจ้าบ้านได้เฮก่อนจากจังหวะที่ มาโล กุสโต้ ไหลบอลให้ มอยเซส ไคเซโด้ มิดฟิลด์เอกวาดอร์ตั้งป้อมยิงไกลจากระยะ 25 หลา บอลพุ่งแรงเสียบสามเหลี่ยมมุมบนฝั่งซ้ายเข้าประตูอย่างหมดจด เชลซีขึ้นนำ 1-0 ท่ามกลางเสียงเฮสนั่นสนามสแตมฟอร์ด บริดจ์

ลูกยิงนี้ไม่เพียงปลุกพลังของเพื่อนร่วมทีม แต่ยังสะท้อนถึงคุณภาพของไคเซโด้ที่เริ่มปรับตัวเข้ากับระบบของเชลซีได้ดีขึ้น หลังจากช่วงต้นฤดูกาลยังดูไม่เข้าที่นัก

นาทีที่ 40–45 : ลิเวอร์พูลขาดความคมในแดนหน้า

แม้ลิเวอร์พูลจะพยายามครองเกมบุก แต่แนวรุกยังขาดจังหวะเข้าทำที่เด็ดขาด โมฮาเหม็ด ซาลาห์ และ อเล็กซานเดอร์ อิซัค มีโอกาสทองจากการเปิดของซาลาห์แต่กลับโหม่งข้ามคานไปอย่างน่าเสียดาย เกมรุกของลิเวอร์พูลในช่วงครึ่งแรกดูตื้อและขาดความมั่นใจ ขณะที่แนวรับของเชลซีเล่นกันอย่างมีระเบียบและรัดกุม จบครึ่งแรกเจ้าบ้านนำ 1-0

ครึ่งหลัง : หงส์แดงตีเสมอได้ แต่เชลซีสวนทีเด็ดทดเจ็บ

การแก้เกมของคล็อปป์ช่วยพลิกจังหวะ

เริ่มครึ่งหลัง เจอร์เก้น คล็อปป์ ปรับหมากโดยส่ง ฟลอเรียน เวียร์ตซ์ ลงแทน คอเนอร์ แบร็ดลีย์ พร้อมถอย โดมินิค โซโบซไล ไปยืนแบ็กขวา เพื่อเพิ่มความยืดหยุ่นในเกมรุก การเปลี่ยนแผนได้ผลทันที เพราะนาทีที่ 63 ลิเวอร์พูลตามตีเสมอ 1-1 จากจังหวะโซโบซไลเปิดบอลจากกราบขวาให้ อเล็กซานเดอร์ อิซัค แตะต่อให้ โคดี้ กัคโป ยิงจ่อ ๆ ไม่เหลือ

การได้ประตูตีเสมอทำให้รูปเกมกลับมาสนุกและเปิดแลกกันมากขึ้น ทั้งสองทีมมีจังหวะโต้กลับอย่างต่อเนื่อง เกมเริ่มมีพื้นที่ให้สร้างสรรค์ แต่จังหวะสุดท้ายยังขาดความเฉียบคม

ปัญหาแนวรับและการเปลี่ยนตัวของเชลซี

เชลซีเจอปัญหาใหญ่เมื่อคู่เซนเตอร์อย่าง เบอนัวต์ บาเดียชิล และ จอช อาเชียมปง ได้รับบาดเจ็บจนต้องเปลี่ยนออก ส่งผลให้ต้องปรับแนวรับใช้ดาวรุ่งอย่าง จาร์เรลล์ ฮาโต้ ลงมาช่วย ซึ่งถือเป็นช่วงเวลาที่ยากลำบากของทีมเจ้าบ้าน

อย่างไรก็ตาม นักเตะดาวรุ่งของเชลซีกลับแสดงความนิ่งและความมุ่งมั่นได้อย่างยอดเยี่ยม พวกเขายืนเกมรับกันอย่างมีวินัย และรอจังหวะสวนกลับในช่วงท้ายเกม

นาทีที่ 90+6 : เอสเตเวา วิลเลี่ยน ฮีโร่ซัดชัย

เข้าสู่ช่วงทดเวลาบาดเจ็บ นาทีที่ 90+6 ความดราม่าก็เกิดขึ้น เมื่อ มาร์ก กูกูเรย่า เติมเกมขึ้นมาทางกราบซ้ายก่อนเปิดเรียดเข้ากลางให้ เอสเตเวา วิลเลี่ยน ดาวรุ่งวัยเพียง 17 ปี ชาร์จจ่อ ๆ ระยะไม่ถึง 3 หลาเข้าประตูไปอย่างเฉียบขาด ส่งแฟนบอลเจ้าบ้านเข้าสู่ความคลั่งไคล้

จังหวะนี้ไม่เพียงเป็นประตูชัยเท่านั้น แต่ยังเป็นสัญลักษณ์แห่งความกล้าหาญของเด็กหนุ่มที่ใช้โอกาสจากการลงสนามในช่วงท้ายเกมให้เกิดประโยชน์สูงสุด เชลซีเฉือนชนะ 2-1 คว้าสามแต้มสุดล้ำค่า

วิเคราะห์หลังเกม : เชลซีเรียกความมั่นใจ หงส์แดงต้องปรับสมาธิ

เชลซี – สปิริตและความสดของนักเตะดาวรุ่ง

ชัยชนะในเกมนี้ของเชลซีคือการปลดล็อกครั้งใหญ่ของทีมที่ก่อนหน้านี้ไม่ชนะใครในลีก 3 นัดติดต่อกัน จุดเด่นของทีมในเกมนี้คือ “พลังหนุ่มและหัวใจนักสู้” ไม่ว่าจะเป็น เอสเตเวา, ไคเซโด้, หรือ กุสโต้ ต่างมีส่วนร่วมสำคัญในจังหวะเกมรุกและเกมรับ การทำงานร่วมกันระหว่างมิดฟิลด์และแบ็กซ้ายขวากลับมามีประสิทธิภาพ

นอกจากนี้ แท็กติกของกุนซือเชลซีที่เน้นเกมเพรสซิ่งและการสวนกลับเร็ว ยังแสดงผลได้ชัดเจน โดยเฉพาะในช่วงท้ายเกมที่ทีมยังคงรักษาความมุ่งมั่นจนวินาทีสุดท้าย

ลิเวอร์พูล – สมาธิหลุดและความเฉื่อยช่วงท้าย

ฝั่งลิเวอร์พูล แม้จะมีช่วงเวลาครองเกมได้เหนือกว่า แต่จุดอ่อนสำคัญคือการขาดความเฉียบคมในแดนหน้าและความผิดพลาดในเกมรับ การขาดผู้รักษาประตูตัวหลักอย่าง อลิสซอน เบ็คเกอร์ ทำให้แนวหลังขาดความมั่นใจ รวมถึงการเสียประตูในช่วงทดเวลาบาดเจ็บซ้ำซากตลอดฤดูกาล กลายเป็นสัญญาณเตือนว่าทีมต้องปรับสภาพจิตใจอย่างเร่งด่วน

ผลการแข่งขันและอันดับตารางคะแนน

เชลซีเก็บสามแต้มสุดสำคัญ

ชัยชนะของเชลซีในเกมนี้ทำให้ทีมมีเพิ่มเป็น 11 คะแนนจาก 7 นัด ขยับขึ้นมาอยู่กลางตาราง และเรียกความมั่นใจกลับมาได้สำเร็จ หลังจากก่อนหน้านี้โดนวิจารณ์หนักเรื่องฟอร์มการเล่นที่ไม่สม่ำเสมอ

ลิเวอร์พูลหล่นจากตำแหน่งจ่าฝูง

ในทางกลับกัน ลิเวอร์พูลสะดุดแพ้สามนัดติดต่อกันรวมทุกรายการ มี 15 คะแนนเท่าเดิม เสียตำแหน่งจ่าฝูงให้กับ อาร์เซน่อล ที่ทำผลงานร้อนแรงต่อเนื่อง เกมถัดไปของ “หงส์แดง” จะยิ่งท้าทายมากขึ้น เพราะต้องเปิดแอนฟิลด์ต้อนรับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ในศึก “แดงเดือด” วันอาทิตย์ที่ 19 ตุลาคม ซึ่งอาจเป็นแมตช์ชี้ชะตาความมั่นใจของทีมในช่วงต้นฤดูกาล

รายชื่อผู้เล่นที่ลงสนาม

เชลซี (4-2-3-1)

โรเบิร์ต ซานเชซ (GK), มาโล กุสโต้, จอช อาเชียมปง (จาร์เรลล์ ฮาโต้ น.68), เบอนัวต์ บาเดียชิล (โรมิโอ ลาเวีย น.55), มาร์ก กูกูเรย่า, มอยเซส ไคเซโด้, รีซ เจมส์, เอ็นโซ่ เฟร์นานเดซ, เปโดร เนโต้ (เอสเตเวา น.75), อเลฮานโดร การ์นาโช่ (เจมี่ ไบโน-กิตเท่นส์ น.75), ชูเอา เปโดร (มาร์ก กิว น.75)

ลิเวอร์พูล (4-2-3-1)

จอร์จี้ มามาร์ดาชวิลี่ (GK), คอเนอร์ แบร็ดลีย์ (ฟลอเรียน เวียร์ตซ์ น.46), อิบราฮิมา โกนาเต้ (เคอร์ติส โจนส์ น.56), เฟอร์จิล ฟาน ไดค์, มิลอช เคอร์เคซ (แอนดี้ โรเบิร์ตสัน น.55), ไรอัน กราเฟนแบร์ค, อเล็กซิส แม็ค อัลลิสเตอร์ (วาตารุ เอ็นโด น.86), โมฮาเหม็ด ซาลาห์, โดมินิค โซโบซไล, โคดี้ กัคโป, อเล็กซานเดอร์ อิซัค (อูโก้ เอกิติเก้ น.74)

สรุป : เกมแห่งอารมณ์และบทเรียนของสองทีม

เชลซีพิสูจน์ให้เห็นถึงการพัฒนา

เกมนี้คือการประกาศศักดาของ “สิงห์บลูส์” ที่ไม่ยอมแพ้จนวินาทีสุดท้าย และสะท้อนว่าทีมของพวกเขาเริ่มรวมเป็นหนึ่งภายใต้แผนการทำทีมที่มั่นคงขึ้น นักเตะดาวรุ่งได้รับโอกาสและตอบแทนด้วยผลงานที่ยอดเยี่ยม

ลิเวอร์พูลต้องแก้สมาธิและการปิดเกม

ส่วน “หงส์แดง” ต้องเร่งแก้ไขปัญหาการเสียสมาธิช่วงท้ายเกม หากต้องการกลับมาท้าชิงแชมป์ในระยะยาว เพราะพรีเมียร์ลีกคือเวทีที่ความผิดพลาดเพียงวินาทีเดียวสามารถเปลี่ยนผลลัพธ์ทั้งหมดได้