โปรแกรมมวย ศึกมวยไทยเจ็ดสี 2 พ.ย. 2568 เวลา 14:30 น. บ่ายวันอาทิตย์กลับมาคึกคักอีกครั้งกับ “ศึกมวยไทยเจ็ดสี” รายการยอดนิยมที่เปิดจอให้แฟนมวยได้อุ่นเครื่องกันตั้งแต่ต้นสัปดาห์ โดยสังเวียนในวันนี้จัดเต็มด้วยสี่คู่ชก ครอบคลุมพิกัด 103, 113, 136 และ 137 ปอนด์ ซึ่งมีทั้งไฟต์วัดฝีมือกลางเวที เกมเร็วเน้นรับ–สวน รวมถึงไฟต์ที่ชวนจับตาตัวแปรด้านน้ำหนักชั่งจริงที่ “เกิน” เล็กน้อยของมุมสีน้ำเงินในสองคู่หลัง รายการเริ่มเวลา 14:30 น. ตามเวลาประเทศไทย ณ เวทีมวยช่อง 7 สี อันเป็นสังเวียนที่ขึ้นชื่อเรื่องสปีดเกมไว จังหวะสลับรับ–รุกถี่ และให้ความสำคัญกับอาวุธสะอาดช่วงปิดยกเป็นพิเศษ ซึ่งทั้งหมดนี้ล้วนส่งผลต่อการตัดสินใจของกรรมการและการอ่านเกมของผู้ชมที่ชื่นชอบมวยเชิงแท็กติก

โปรแกรมมวย ศึกมวยไทยเจ็ดสี 2 พ.ย. 2568 เวลา 14:30 น.

ภาพรวมการ์ดและประเด็นที่ควรจับตา

การ์ดวันนี้เริ่มต้นด้วยพิกัด 103 ปอนด์ ซึ่งทั้งสองฝ่ายชั่งได้ “ตามพิกัด” ทำให้เกมมีโอกาสไหลลื่นและชิงกันด้วยความสด–สปีด–ฟุตเวิร์กเป็นหลัก ถัดมาในพิกัด 136 ปอนด์ ทั้งคู่ก็ยังคง “ตามพิกัด” คาดว่าเป็นไฟต์วัดฝีมือกลางเวที วางแข้ง–หมัดและคุมจังหวะสองอย่างมีวินัย ส่วนคู่ที่ 3 ในพิกัด 113 ปอนด์ มีตัวเลขน่าสนใจคือมุมสีน้ำเงินชั่งได้ 114 ปอนด์ “เกิน 1.0” ซึ่งอาจสะท้อนมวลปะทะที่แน่นขึ้น แต่ต้องแลกกับโจทย์การฟื้นตัว–สปีดปลายในยกท้าย สุดท้ายพิกัด 137 ปอนด์ มุมสีน้ำเงินเกิน 0.2 ปอนด์เล็กน้อย เกมคาดว่าจะไวและใกล้ชิด จับตาศอกสวนและลูกตั้งเตะที่จะชั่งน้ำหนักคะแนนช่วง 20–30 วินาทีสุดท้ายของแต่ละยก ซึ่งถือเป็นเวลาทองของสังเวียนบ่ายวันอาทิตย์แทบทุกสัปดาห์

ตารางโปรแกรมรวม — ศึกมวยไทยเจ็ดสี (2 พฤศจิกายน 2568 / 14:30 น.)

ตารางนี้สรุปรายละเอียดสำคัญของทั้งสี่คู่ชก ตั้งแต่เวที–เวลา พิกัด น้ำหนักชั่งจริง และสถานะการชั่ง เพื่อให้สแกนข้อมูลได้รวดเร็วก่อนลงรายละเอียดพรีวิวเชิงแท็กติกของแต่ละไฟต์ด้านล่าง ซึ่งจะอธิบายอาวุธเด่น จังหวะตัดสิน และแผนที่น่าจะใช้ในสังเวียนจริงอย่างเป็นระบบ

ลำดับ เวที/เวลา พิกัด ฝั่งแดง (ชั่งได้) ฝั่งน้ำเงิน (ชั่งได้) สถานะชั่ง หมายเหตุ
คู่ที่ 1 ช่อง 7 สี / 14:30 103 ปอนด์ สไนเปอร์ โกลิตะมวยไทย (ตามพิกัด) โชกุน พวพลฟาร์มสุขกระบือไทย (ตามพิกัด) สมดุล เกมไว–รับสวน–คุมมุม
คู่ที่ 2 ช่อง 7 สี / 14:30 136 ปอนด์ ไท พีเค.แสนชัยมวยไทยยิม (ตามพิกัด) แสงเทียน ศิษย์หนุ่มน้อย (ตามพิกัด) สมดุล วัดฝีมือกลางเวที
คู่ที่ 3 ช่อง 7 สี / 14:30 113 ปอนด์ เป๊ก ปตท.ทองทวี (ตามพิกัด) เพชรนพเดช นพเดชมวยไทย (114) น้ำเงินเกิน 1.0 คุมระยะ vs มวลปะทะ
คู่ที่ 4 ช่อง 7 สี / 14:30 137 ปอนด์ น้องบิว จิตรเมืองนนท์ (ตามพิกัด) สมิงเดช บังมัดคลองตัน (137.2) น้ำเงินเกิน 0.2 เกมเร็ว–ศอกสวน–ปิดยกคม

วิเคราะห์คู่ต่อคู่ (Fight-by-Fight Analysis)

คู่ที่ 1 — สไนเปอร์ โกลิตะมวยไทย vs โชกุน พวพลฟาร์มสุขกระบือไทย (พิกัด 103 ปอนด์)

ไฟต์เปิดรายการในพิกัดเล็ก 103 ปอนด์มักจะเดินเกมรวดเร็วและชิงความได้เปรียบด้วยสปีดและความชัดของอาวุธเป็นหลัก ทั้งสไนเปอร์และโชกุนชั่งได้ตามพิกัดจึงไม่มีตัวแปรเรื่องการฟื้นตัวมาทำให้ศักยภาพแปรผัน จุดชี้ขาดของไฟต์นี้คือการยืนตำแหน่งและ “ไม่ปล่อยให้ติดเชือก” เพราะเมื่อพื้นที่แคบลงจะเปิดโอกาสให้คู่ชกเร่งคอมโบเข้าทำและสร้างภาพเหนือกว่าในสายตากรรมการโดยไม่ต้องสาดอาวุธจำนวนมาก ผู้ที่รักษาการ์ดหลังปล่อยหมัด–แข้ง และรีเซ็ตมุมได้ไว จะเป็นฝ่ายกำหนดริธึมของไฟต์และปั้นสกอร์ได้อย่างสม่ำเสมอในทุกยก

พิกัด น้ำหนักชั่ง สไตล์เด่น กุญแจแพ้–ชนะ แนวโน้มคะแนน
103 ปอนด์ แดง/น้ำเงิน: ตามพิกัด สปีด–รับสวน–คอมโบสั้น คุมมุม–ไม่ติดเชือก–ปิดยกสะอาด ชี้ด้วยหมัดตรง/แข้งลำตัวช่วงท้ายยก

ในเชิงแท็กติก ฝ่ายที่เน้นฝีมือควรใช้แย็บและแข้งหน้าเบรกจังหวะก่อนชิ่งออกด้านข้างเพื่อตัดทางสวนกลับ ขณะที่ฝ่ายบู๊ต้องกดดันให้เป็นช่วงๆ ไม่ปล่อยให้จังหวะหลวมจนอีกฝ่ายเล่น “รับ–สวน” ได้สะดวก หากเกมเริ่มยืดเยื้อและความแม่นยำตก การตัดสินใจ “เลือกอาวุธน้อยแต่สะอาด” จะมีน้ำหนักมากกว่าเหมารวมด้วยชุดยาวที่ไม่เข้าเป้า โดยเฉพาะ 20 วินาทีสุดท้ายซึ่งมักนิยามความรู้สึกของกรรมการในยกนั้นๆ อย่างชัดเจน

คู่ที่ 2 — ไท พีเค.แสนชัยมวยไทยยิม vs แสงเทียน ศิษย์หนุ่มน้อย (พิกัด 136 ปอนด์)

ไฟต์ระดับ 136 ปอนด์คือการชิงความนิ่งและความเป็นระบบของแท็กติก ไทและแสงเทียนชั่งตามพิกัดทั้งคู่ นำไปสู่ไฟต์ที่น่าจะ “วัดฝีมือกลางเวที” อย่างแท้จริง ทิศทางเกมจะแปรตามผู้ที่คุมเส้นกลางเวทีและกำหนดโซนเข้าทำได้ก่อน ระหว่าง “ลูกตั้งเตะ–หมัดตรง” กับ “ตัดจังหวะ–สวนคม” การเปิดเกมแบบเร่งใส่กันยาวๆ อาจไม่ใช่คำตอบ เพราะเสี่ยงให้ฝั่งตรงข้ามอ่านทางแล้วสวนกลับได้สะอาดกว่า ไฟต์นี้จึงเหมาะกับการจัดวางจังหวะหนึ่ง–สอง–รีเซ็ต และเกลาจังหวะสองให้สะอาด เพื่อค่อยๆ ดึงคะแนนทีละยก

พิกัด น้ำหนักชั่ง จุดแข็ง ตัวชี้เกม สิ่งที่ต้องระวัง
136 ปอนด์ แดง/น้ำเงิน: ตามพิกัด แดงรับ–สวนคม / น้ำเงินคุมจังหวะนิ่ง คุมกลางเวที–ตั้งเตะ–หมัดปิดยก การ์ดตกหลังออกอาวุธ–โดนสวนศอก

รายละเอียดเล็กๆ อย่าง “การหมุนไหล่” หลังปล่อยหมัด หรือ “การกดปลายเท้า” ก่อนเตะ จะทำให้อาวุธดูมั่นคงและสะอาดขึ้นในสายตากรรมการ หากฝ่ายหนึ่งเริ่มดันอีกฝ่ายไปใกล้เชือกได้บ่อย โอกาสตัดสินใจของคู่ชกจะน้อยลง และจะถูกบังคับให้รับตลอดซึ่งเป็นภาพเสียเปรียบโดยธรรมชาติ ไฟต์นี้จึงเป็นบทเรียนของคำว่า “ควบคุม” มากกว่า “เข้าชน” ใครครองคำนี้ได้ยาวจะขึ้นนำคะแนนแบบสบายตา

คู่ที่ 3 — เป๊ก ปตท.ทองทวี vs เพชรนพเดช นพเดชมวยไทย (พิกัด 113 ปอนด์)

ไฟต์นี้มีตัวแปรชัดเจนคือเพชรนพเดชชั่งเกิน 1.0 ปอนด์ที่ 114 ปอนด์ ในขณะที่เป๊กชั่งตามพิกัด ซึ่งโดยทฤษฎี “น้ำหนักเกินเล็กน้อย” อาจให้แรงชนที่แน่นขึ้นในวงในหรือจังหวะปักหลัก แต่ก็ต้องแลกกับโจทย์เรื่องความลื่นไหลและสปีดปลายในยกท้าย หากฟื้นตัวได้ดี เพชรนพเดชจะได้เปรียบในจังหวะชนและลูกค้ำ–ดันมุม ขณะที่เป๊กต้องเล่นให้เป็นระบบ “คุมระยะ–ตัดจังหวะ” ด้วยแย็บและแข้งหน้าเพื่อหักทางเข้าของคู่ชก ก่อนสวนด้วยหมัดตรงหรือศอกเฉียงที่คมชัด

พิกัด น้ำหนักชั่ง (แดง/น้ำเงิน) จุดได้เปรียบ ความเสี่ยง แผนที่ควรใช้
113 ปอนด์ ตามพิกัด / 114 (เกิน 1.0) แดงคล่อง–รีเซ็ตไว / น้ำเงินมวลปะทะ แดงติดมุม / น้ำเงินช้าปลาย แดงคุมโล่ง–สวนคม / น้ำเงินดันมุม–เข่าตรง

จุดชี้ขาดน่าจะอยู่ในยกสองขึ้นไป เมื่อความล้าเริ่มกัดกร่อนความคมชัด หากเพชรนพเดชยังคงเร่งเครื่องดันมุมได้ เป๊กจะต้องรับมือกับลูกค้ำและการจิกตำแหน่งที่ทำให้ออกอาวุธยาก ในทางกลับกัน หากเป๊กคุมระยะและไม่ยอมให้ไฟต์กลายเป็นเกมประชิด โอกาสที่จะลากไปสู่การเก็บแต้มด้วยอาวุธสะอาดจะสูงขึ้นเรื่อยๆ การสื่อสารกับคอร์เนอร์และการสลับความเร็วจังหวะสั้น–ยาวจะทำให้ไฟต์นี้มีความพลิกผันจนจบยกสุดท้าย

คู่ที่ 4 — น้องบิว จิตรเมืองนนท์ vs สมิงเดช บังมัดคลองตัน (พิกัด 137 ปอนด์)

คู่ปิดรายการเป็นพิกัด 137 ปอนด์ที่สมิงเดชชั่ง 137.2 ปอนด์ “เกิน 0.2” เล็กน้อย ขณะที่น้องบิว “ตามพิกัด” ภาพรวมของไฟต์คาดว่าจะเร็วและใกล้ชิด เน้นการเปิด–ปิดจังหวะสั้นๆ และศอกสวนที่มีผลต่อโมเมนตัมทันที ใครคุม “เส้นกลางเวที” และไม่ปล่อยให้ตนเองถูกกดไปหลังเชือกจะได้เปรียบมาก เพราะพื้นที่ริมเชือกจำกัดตัวเลือกสวนและทำให้เสียรูปการ์ดได้ง่าย ยิ่งในช่วงท้ายยก การออกอาวุธน้อยแต่สะอาด เช่น แข้งตัดลำตัวหนักๆ หรือหมัดตรงเข้าใบหน้าชัดๆ จะยึดคะแนนในยกนั้นไว้ได้อย่างเหนียวแน่น

พิกัด น้ำหนักชั่ง (แดง/น้ำเงิน) อาวุธเด่น คีย์แท็กติก ตัวแปรคะแนน
137 ปอนด์ ตามพิกัด / 137.2 (เกิน 0.2) ตั้งเตะ–ศอกสวน–คอมโบสั้น คุมกลางเวที–หมุนมุม–ไม่เสียรูป ช่วง 20–30 วินาทีท้ายยก

สำหรับน้องบิว แผนที่ปลอดภัยคือ “คุมระยะ–เปลี่ยนระดับ” จากแย็บใบหน้าไปแข้งลำตัว แล้วหมุนออกมุมเพื่อหลีกเลี่ยงการถูกต้อนเข้าพื้นที่แคบ ส่วนสมิงเดชควรใช้ความได้เปรียบด้านมวลเล็กน้อยในการบี้ระยะ ดันให้เกิดการปะทะในคลินช์และสาดศอกสวนยามอีกฝ่ายเปิดมุม เมื่อเกมไหลไปสู่ยกสุดท้าย ใครยังคงความคมของอาวุธและไม่หลุดสมาธิในช่วงท้ายยกจะเป็นฝ่ายยึดผลรวมไว้ได้

สรุปผลชั่งน้ำหนัก 

เมื่อจัดข้อมูลน้ำหนักชั่งจริงให้เป็นระบบ จะเห็นภาพรวมชัดเจนว่าคู่ที่ 1 และ 2 เป็นไฟต์ “สมดุลตามพิกัด” ซึ่งจะชี้กันที่คุณภาพอาวุธสะอาดและการคุมพื้นที่กลางเวทีเป็นหลัก ส่วนคู่ที่ 3 และ 4 มีมุมสีน้ำเงิน “เกินพิกัดเล็กน้อย” ตัวเลข 1.0 และ 0.2 ปอนด์ตามลำดับ แม้ไม่มากแต่เพียงพอให้เกิดความต่างเชิงสรีรภาพในบางจังหวะ เช่น การยืนปักหลัก การชนในคลินช์ หรือการค้ำดันริมเชือก อย่างไรก็ดี น้ำหนักที่เกินย่อมมีโจทย์ให้ต้องเคลียร์ เช่น ความลื่นไหลและสปีดปลายในยกท้าย ฉะนั้นการบริหารจังหวะเกมและการรีเซ็ตตำแหน่งหลังปล่อยอาวุธจึงเป็นหัวใจสำหรับทั้งสองฝั่งในสองไฟต์ท้ายของการ์ด

คู่ พิกัด แดง น้ำเงิน สถานะชั่ง อินไซต์เชิงแท็กติก
1 103 ป. ตามพิกัด ตามพิกัด สมดุล เกมไว–รับสวน–ปิดยกสะอาด
2 136 ป. ตามพิกัด ตามพิกัด สมดุล วัดฝีมือกลางเวที–ลูกตั้งเตะ
3 113 ป. ตามพิกัด 114 (เกิน 1.0) น้ำเงินเกิน คุมระยะ vs มวลปะทะ/ฟื้นตัว
4 137 ป. ตามพิกัด 137.2 (เกิน 0.2) น้ำเงินเกิน เกมเร็ว–ศอกสวน–ท้ายยก

วิธีอ่านตาราง & คำย่อที่ใช้ในบทความ

คำว่า “พิกัด” คือค่ามาตรฐานน้ำหนักที่กำหนดไว้สำหรับคู่ชกนั้น ส่วน “ชั่งได้” คือผลน้ำหนักจริงที่ขึ้นตาชั่งในวันก่อนแข่ง หากระบุว่า “เกิน” หมายถึงน้ำหนักมากกว่าพิกัดเล็กน้อย ซึ่งโดยทั่วไปเพิ่มความแน่นของแรงชน แต่ต้องบริหารความลื่นไหลและแรงปลายในยกท้ายให้ดี ส่วน “ตามพิกัด” มักสะท้อนความคล่องตัวที่เสถียรและการฟื้นแรงหายใจเร็ว ซึ่งเข้าทางเกมฝีมือกลางเวที สำหรับสัญลักษณ์ 🔴 หมายถึงมุมแดง และ 🔵 หมายถึงมุมน้ำเงิน ใช้เพื่อช่วยให้ผู้อ่านสแกนข้อมูลด้านภาพรวมได้อย่างรวดเร็วโดยเฉพาะบนมือถือ

คำถามที่พบบ่อย (FAQ)

ศึกมวยไทยเจ็ดสีวันนี้เริ่มกี่โมง และเวลาแต่ละคู่จะคงที่หรือไม่?

รายการเริ่มเวลา 14:30 น. ตามตารางของเวทีมวยช่อง 7 สี โดยคู่ถัดไปอาจขยับเล็กน้อยตามความยาวของไฟต์ก่อนหน้า เช่น มีการชนะก่อนครบยกหรือมีช่วงตรวจแผลเพิ่มเติม ผู้ชมที่ต้องการรับชมครบทุกคู่ควรเริ่มติดตามตั้งแต่ต้น เพื่อไม่พลาดช่วงเปิดเกมที่มักกำหนดทิศทางของคะแนนและแผนการชกในยกต่อๆ ไป

ผลชั่ง “เกิน/ตามพิกัด” ส่งผลต่อรูปเกมอย่างไรในทางปฏิบัติ?

“เกิน” มักทำให้แรงชนหนาขึ้นในวงในและยามปักหลัก แต่ต้องระวังความช้าลงในยกท้าย โดยเฉพาะเมื่อเจอมวยที่คุมระยะและรีเซ็ตตำแหน่งได้ไว ส่วน “ตามพิกัด” ให้ความคล่องตัว–ฟุตเวิร์ก–จังหวะสองที่คมกว่า เหมาะกับการวางระบบคุมกลางเวทีและปิดยกด้วยอาวุธสะอาด ทั้งหมดนี้ยังต้องสอดคล้องกับสไตล์พื้นฐานของนักชกแต่ละรายด้วย

คู่ไหนเป็นไฮไลต์ของการ์ด และควรจับตาอะไรเป็นพิเศษ?

คู่ที่ 3 ถือเป็นไฮไลต์เชิงแท็กติก เพราะตัวเลข “เกิน 1.0 ปอนด์” ของมุมสีน้ำเงินจะทดสอบทั้งการฟื้นตัวและการคุมพื้นที่ของคู่ต่อสู้ ขณะที่คู่ที่ 4 คือไฟต์ที่เน้นสปีดสูง–ศอกสวนและการปิดยกคม ส่วนคู่ที่ 1–2 เหมาะกับคนที่ชอบดูมวยฝีมือกลางเวทีและการรับ–สวนที่สะอาด ซึ่งทั้งหมดมีสไตล์แตกต่างครบเครื่องในบ่ายวันเดียว

หลังจบรายการสามารถติดตามผลชกย้อนหลังได้จากที่ใด?

หลังจบศึกมวยไทยเจ็ดสี สามารถติดตามผลชก สรุปคะแนน และช็อตไฮไลต์จากผู้เผยแพร่อย่างเป็นทางการและสื่อกีฬาหลักที่รายงานผลแบบเรียลไทม์ ทั้งนี้การทบทวนตาราง “สรุปผลชั่งน้ำหนัก” ควบคู่กับผลคะแนนจะทำให้เห็นภาพรวมการเดินเกมและเหตุผลเชิงแท็กติกที่อยู่เบื้องหลังการตัดสินได้เด่นชัดมากขึ้น

บทสรุป

ศึกมวยไทยเจ็ดสีในบ่ายวันอาทิตย์ที่ 2 พฤศจิกายน 2568 คือเส้นทางลัดสู่ความเข้าใจ “มวยไทยยุคใหม่” ที่ผสมผสานความเร็ว ความนิ่ง และความสะอาดของอาวุธในสังเวียนเดียว การ์ดวันนี้มีทั้งไฟต์ฝีมือสมดุลตามพิกัดซึ่งชี้กันที่การคุมกลางเวที และไฟต์ที่มีตัวเลขน้ำหนักเกินเล็กน้อยซึ่งจะทดสอบการฟื้นตัวและการตัดสินใจภายใต้แรงกดดัน สิ่งที่ผู้ชมควรโฟกัสคือจังหวะสอง การรีเซ็ตตำแหน่งหลังปล่อยอาวุธ การไม่ติดเชือก และการปิดยกด้วยอาวุธสะอาด เพราะนี่คือรายละเอียดที่ตัดสินคะแนนได้จริงบนเวทีช่อง 7 สี หวังว่าพรีวิวเชิงบริบทและตารางประกอบทั้งหมดนี้จะช่วยยกระดับการรับชมให้สนุก ลึก และมีกรอบวิเคราะห์ที่แม่นขึ้นในทุกยกของค่ำบ่ายวันนี้