ศึกมวยไทยพลังใหม่ ในวันพุธที่ 26 พฤศจิกายน 2568 คือหนึ่งในบัตรมวยกลางสัปดาห์ที่แฟนมวยไทยไม่ควรมองข้ามอย่างยิ่ง เพราะเป็นรายการที่ออกแบบมาเพื่อเปิดเวทีให้ “พลังใหม่” ของวงการ ทั้งดาวรุ่งสายบู๊ มวยฝีมือจากค่ายดัง และนักมวยพิกัดกลางถึงใหญ่ที่กำลังจะก้าวขึ้นสู่แถวหน้าของเวทีราชดำเนิน ศึกมวยไทยพลังใหม่ ครั้งนี้จัดขึ้น ณ เวทีมวยราชดำเนิน เริ่มชกตั้งแต่เวลา 18.00 น. ไปจนถึงประมาณ 20.30 น. รวมทั้งหมด 9 คู่ พร้อมเสิร์ฟความดุเดือดตั้งแต่ยกแรกถึงคู่ปิดท้าย เตรียมเปลี่ยนคืนวันพุธให้กลายเป็นค่ำคืนของมวยไทยอย่างแท้จริงสำหรับแฟนมวยทุกสาย

โปรแกรมมวย ศึกมวยไทยพลังใหม่ 26 พฤศจิกายน 2568 : เวทีมวยราชดำเนินครบ 9 คู่

ภาพรวมศึกมวยไทยพลังใหม่ วันพุธที่ 26 พฤศจิกายน 2568

ศึกมวยไทยพลังใหม่ ในครั้งนี้ใช้สังเวียนระดับตำนานอย่างเวทีมวยราชดำเนินเป็นสนามหลัก ซึ่งยืนยันได้ถึงมาตรฐานของรายการทั้งในแง่คุณภาพคู่มวยและการจัดการแข่งขัน
เวทีราชดำเนินถือเป็นบ้านของมวยไทยระดับแถวหน้า และการได้ขึ้นบนเวทีแห่งนี้คือความฝันของนักมวยรุ่นใหม่จำนวนมาก
เมื่อผนวกเข้ากับคอนเซ็ปต์ “พลังใหม่” ของรายการ ศึกมวยไทยพลังใหม่ จึงไม่เพียงเป็นศึกที่สนุก แต่น่าจะกลายเป็นเวทีแจ้งเกิดของนักมวยหลายคนในค่ำคืนนี้อย่างแน่นอน

โปรแกรมของศึกมวยไทยพลังใหม่ รอบนี้ประกอบด้วย 9 คู่ ไล่ตั้งแต่พิกัด 120 ปอนด์ไปจนถึงรุ่นใหญ่ในพิกัด 142 ปอนด์
โดยแต่ละคู่ถูกคัดมาให้มีความใกล้เคียงทั้งด้านสรีระและชื่อชั้น เช่น จ้าวซัน กรุงเทคโน ชนกับ ขงเบ้ง ส.ทองภูบาล ในคู่เปิดหัว
แอร์โรว์ ไรซิ่งมวยไทย พบ สิงห์ศึก ศักดิ์อนุพงษ์ ในพิกัดต่างปอนด์เล็กน้อย ไปจนถึงคู่หนักๆ อย่าง ปราบปรามเล็ก ช.วสันต์ ปะทะ ขจรไกล สส.ต้อยแปดริ้ว และคู่ปิดรายการอย่าง สองฝั่งโขง เอฟ.เอ.กรุ๊ป ดวล โล่ห์ทอง กรวยในเมืองยิมส์
ทุกคู่ล้วนสะท้อนปรัชญาของศึกมวยไทยพลังใหม่ ที่ต้องการให้แฟนมวยได้เห็นพลังของนักมวยยุคใหม่อย่างเต็มตา

ตารางการแข่งขัน ศึกมวยไทยพลังใหม่ เวทีมวยราชดำเนิน

เพื่อให้การติดตามศึกมวยไทยพลังใหม่ เป็นไปอย่างราบรื่นและมีข้อมูลครบถ้วน ตารางโปรแกรมต่อไปนี้จะช่วยสรุปรายละเอียดพื้นฐานของคู่มวยทั้ง 9 คู่
ตั้งแต่ชื่อมุมน้ำเงิน มุมแดง พิกัดการชก ไปจนถึงผลการชั่งน้ำหนักจริงว่ามีนักมวยคนใดต้อง “ลด” หรือ “ขาด” น้ำหนักเท่าไร
ข้อมูลเหล่านี้ไม่เพียงช่วยให้แฟนมวยจดจำคู่มวยได้ง่ายขึ้น แต่ยังเป็นหัวใจสำคัญสำหรับการวิเคราะห์เชิงลึกว่าใครอาจได้เปรียบหรือเสียเปรียบด้านสภาพร่างกายในศึกมวยไทยพลังใหม่ ครั้งนี้

คู่ที่ มุมแดง พิกัด (ปอนด์) ชั่งได้ มุมน้ำเงิน พิกัด (ปอนด์) ชั่งได้ หมายเหตุ
1 จ้าวซัน กรุงเทคโน 120.0 ตามพิกัด ขงเบ้ง ส.ทองภูบาล 120.0 ขาด 0.3 ปอนด์ คู่เปิดหัว พิกัด 120 ปอนด์
2 แอร์โรว์ ไรซิ่งมวยไทย 120.0 ลด 1.8 ปอนด์ สิงห์ศึก ศักดิ์อนุพงษ์ 122.0 ขาด 0.4 ปอนด์ ต่างพิกัด 120–122 ปอนด์
3 แซมซั่น พ.เพชรโพธิ์ทอง 127.0 ลด 0.6 ปอนด์ พลายแก้ว ส.บุญมีฤทธิ์ 127.0 ลด 1.1 ปอนด์ พิกัด 127 ปอนด์ มวยกลาง
4 ชาลาวัน หยกขาวแสนชัยยิม 132.0 ขาด 0.1 ปอนด์ คิวทอง TKD.มวยไทย 132.0 ลด 1.4 ปอนด์ คู่เด่นพิกัด 132 ปอนด์
5 ออกศึก ส.ราชสีห์มวยไทย 124.0 ขาด 0.4 ปอนด์ ยอดสยาม ส.มณีวรรณมวยไทย 124.0 ขาด 0.4 ปอนด์ สูสี น้ำหนักขาดเท่ากัน
6 ปราบปรามเล็ก ช.วสันต์ 140.0 ขาด 1.0 ปอนด์ ขจรไกล สส.ต้อยแปดริ้ว 142.0 ลด 1.0 ปอนด์ รุ่นใหญ่ 140–142 ปอนด์
7 สองแผ่นดิน ช.แก้ววิเศษ 131.0 ลด 0.2 ปอนด์ แสนรัก ซุปเปอร์เล็กมวยไทย 131.0 ตามพิกัด มวยฝีมือพิกัด 131 ปอนด์
8 โล่ห์เงิน กรวยในเมืองยิมส์ 135.0 ขาด 0.1 ปอนด์ เก้าล้าน ศิษย์กำนันเหน่ง 135.0 ลด 1.1 ปอนด์ ต่อสู้เดือดพิกัด 135 ปอนด์
9 สองฝั่งโขง เอฟ.เอ.กรุ๊ป 136.0 ลด 2.3 ปอนด์ โล่ห์ทอง กรวยในเมืองยิมส์ 137.0 ลด 0.4 ปอนด์ คู่ปิดท้ายรุ่นใหญ่ 136–137 ปอนด์

จากตารางจะเห็นว่าในศึกมวยไทยพลังใหม่ มีทั้งนักมวยที่ชั่งได้ตามพิกัดเสียเป็นส่วนใหญ่ และบางคนต้องลดหรือลดน้ำหนักค่อนข้างมาก เช่น แอร์โรว์ ที่ลดถึง 1.8 ปอนด์ เก้าล้านที่ลด 1.1 ปอนด์
และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง สองฝั่งโขง เอฟ.เอ.กรุ๊ป ที่ต้องลดถึง 2.3 ปอนด์เพื่อให้ผ่านพิกัด 136 ปอนด์
ความแตกต่างเหล่านี้จะส่งผลโดยตรงต่อความฟิตและแรงปลายในช่วงยกท้าย ๆ
ทำให้การวิเคราะห์เกมในศึกมวยไทยพลังใหม่ จำเป็นต้องคำนึงถึงตัวเลขเหล่านี้ควบคู่กับสไตล์การชกของแต่ละฝ่ายอย่างรอบด้าน

วิเคราะห์คู่มวย ศึกมวยไทยพลังใหม่ 26 พฤศจิกายน 2568

การวิเคราะห์คู่มวยในศึกมวยไทยพลังใหม่ จะช่วยให้แฟนมวยมองเห็นแนวโน้มของเกมและจุดเปลี่ยนที่อาจเกิดขึ้นบนเวทีราชดำเนินล่วงหน้าได้พอสมควร
ในส่วนนี้จะใช้ข้อมูลจากพิกัดและผลชั่งน้ำหนักจริง ผสมกับลักษณะชื่อและภาพรวมสไตล์ของนักมวยแต่ละค่าย เพื่อสร้างมุมมองเชิงเกมการชกที่แฟนมวยสามารถนำไปใช้ประกอบการชมสดหรือวิเคราะห์ต่อเองได้
แม้รายละเอียดฟอร์มล่าสุดของนักมวยบางรายอาจต้องตามจากแหล่งข่าวอื่นเพิ่มเติม แต่เพียงข้อมูลจากศึกมวยไทยพลังใหม่ ที่เรามีอยู่ ก็เพียงพอที่จะทำให้ภาพรวมของทั้ง 9 คู่สนุกและน่าลุ้นขึ้นมากทีเดียว

คู่ที่ 1 จ้าวซัน กรุงเทคโน vs ขงเบ้ง ส.ทองภูบาล (พิกัด 120 ปอนด์)

คู่เปิดหัวของศึกมวยไทยพลังใหม่ เป็นการปะทะกันในพิกัด 120 ปอนด์ ระหว่าง จ้าวซัน กรุงเทคโน ที่ชั่งได้ตามพิกัดแบบเป๊ะ
กับ ขงเบ้ง ส.ทองภูบาล ที่ชั่งได้ขาด 0.3 ปอนด์ ทำให้จ้าวซันน่าจะมีความแน่นของมวลร่างกายและแรงปะทะเต็มพิกัด
ในขณะที่ขงเบ้งอาจได้เปรียบด้านความคล่องแคล่วและความเร็วจากตัวที่เบากว่าเล็กน้อย
จุดน่าสนใจในไฟต์นี้คือการวัดกันระหว่างความมั่นคงของร่างกายกับความว่องไว ซึ่งเป็นภาพสะท้อนของมวยไทยยุคใหม่ในรายการศึกมวยไทยพลังใหม่ ได้อย่างชัดเจน

เชิงมวยแล้ว จ้าวซันจากกรุงเทคโนมีโอกาสเป็นมวยที่เน้นลูกเตะหนักดักใส่ ใช้การคุมระยะและออกอาวุธเป็นชุดเมื่อได้จังหวะ
หากสามารถไม่ปล่อยให้ขงเบ้งใช้ความเร็วเข้าทำได้บ่อย ก็มีโอกาสเก็บคะแนนนำไปเรื่อย ๆ
ในทางกลับกัน ขงเบ้ง ส.ทองภูบาล จากชื่อก็บ่งบอกถึงสายฝีมือและไหวพริบ หากสามารถใช้การชิงจังหวะหนึ่ง–สอง โต้กลับได้อย่างคมก็อาจพลิกเกมให้จ้าวซันเป็นฝ่ายเดินตามได้เช่นกัน
คู่เปิดของศึกมวยไทยพลังใหม่ คู่นี้จึงน่าจะสร้างบรรยากาศให้คนดูตื่นตัวตั้งแต่ยกแรกด้วยเกมแลกหมัดแลกแข้งที่มีทั้งชั้นเชิงและความดุเดือดครบถ้วน

คู่ที่ 2 แอร์โรว์ ไรซิ่งมวยไทย vs สิงห์ศึก ศักดิ์อนุพงษ์ (พิกัด 120–122 ปอนด์)

คู่ที่สองของศึกมวยไทยพลังใหม่ มีจุดต่างที่น่าสนใจทั้งในแง่พิกัดและน้ำหนักจริง โดยแอร์โรว์ ไรซิ่งมวยไทย ขึ้นพิกัด 120 ปอนด์แต่ต้องลดน้ำหนักถึง 1.8 ปอนด์
ส่วน สิงห์ศึก ศักดิ์อนุพงษ์ พิกัด 122 ปอนด์ ชั่งได้ขาด 0.4 ปอนด์ ทำให้ในทางทฤษฎี สิงห์ศึกมีทั้งพิกัดสูงกว่าและตัวไม่ตึงน้ำหนักเท่าแอร์โรว์
ในไฟต์นี้จึงอาจเห็นภาพมวยที่ต้องเค้นน้ำหนักอย่างหนักอย่างแอร์โรว์พยายามเร่งเกมต้น ในขณะที่สิงห์ศึกอาศัยความสดและความแน่นอนในการประคองเกมให้ผ่านช่วงสำคัญไปได้

ชื่อของแอร์โรว์บ่งบอกถึงมวยที่เน้นความเร็วและการเข้าออกเหมือนลูกศร หากฟื้นตัวจากการลดน้ำหนักได้ดี เขาอาจใช้ความเร็วนี้เป็นอาวุธสำคัญในการสร้างความเสียหายให้สิงห์ศึก
แต่หากร่างกายยังมีอาการตึงหรืออ่อนล้าจากการเค้นหนัก ก็มีความเสี่ยงสูงที่จะถูกสิงห์ศึกสวนกลับในจังหวะที่ผิดพลาดได้
ฝั่งสิงห์ศึก ศักดิ์อนุพงษ์ เองการชั่งขาดเล็กน้อยช่วยให้ร่างกายยืดหยุ่นและทนต่อการปะทะได้ดี
ถ้าเขาสามารถยืนรับแรงบุกในยกต้นแล้วมาขึ้นเกมในยกกลางและยกปลาย ศึกมวยไทยพลังใหม่ คู่นี้ก็อาจกลายเป็นไฟต์ที่เปลี่ยนจากเกมบุกของแอร์โรว์ไปเป็นการพลิกกลับมาคุมเกมของสิงห์ศึกแทน

คู่ที่ 3 แซมซั่น พ.เพชรโพธิ์ทอง vs พลายแก้ว ส.บุญมีฤทธิ์ (พิกัด 127 ปอนด์)

คู่ที่สามของศึกมวยไทยพลังใหม่ เป็นการพบกันในพิกัด 127 ปอนด์ระหว่าง แซมซั่น พ.เพชรโพธิ์ทอง ที่ต้องลด 0.6 ปอนด์ กับ พลายแก้ว ส.บุญมีฤทธิ์ ที่ต้องลดมากถึง 1.1 ปอนด์
ทั้งคู่ต่างเป็นมวยพิกัดกลางที่มีความสมดุลระหว่างความเร็วและพละกำลัง จึงทำให้เกมการชกมีโอกาสเดินหน้าแลกกันอย่างสนุกทุกยก
อย่างไรก็ดี การที่พลายแก้วต้องเค้นน้ำหนักมากกว่าแซมซั่นเกือบเท่าตัว อาจทำให้ความสดของร่างกายลดลงโดยเฉพาะในช่วงยกสี่และห้า หากเกมลากยาว

แซมซั่น พ.เพชรโพธิ์ทอง น่าจะอาศัยจังหวะเข้าทำที่หนักแน่นและค่อนข้างประหยัดแรง พุ่งเข้าใส่ในจังหวะที่มั่นใจแล้วถอยมาคุมเกมกลางเวที
ส่วนพลายแก้ว ส.บุญมีฤทธิ์ หากฟื้นตัวจากการลดน้ำหนักได้ดี ก็มีโอกาสใช้ลูกบู๊เดินเข้ากดดันและทำให้แซมซั่นต้องถอยหนี
แต่ถ้าเริ่มเห็นอาการแผ่วในช่วงกลางเกม แซมซั่นก็อาจยกเครื่องเร่งบุกยาวจนควบคุมสถานการณ์ได้ ศึกมวยไทยพลังใหม่ คู่นี้จึงถือเป็นอีกไฟต์ที่แฟนมวยต้องจับตาเรื่องแรงปลายและการบริหารกำลังของทั้งสองฝ่ายให้ดี

คู่ที่ 4 ชาลาวัน หยกขาวแสนชัยยิม vs คิวทอง TKD.มวยไทย (พิกัด 132 ปอนด์)

คู่ที่สี่ในพิกัด 132 ปอนด์ เป็นหนึ่งในคู่ที่น่าจับตามองที่สุดของศึกมวยไทยพลังใหม่ ระหว่าง ชาลาวัน หยกขาวแสนชัยยิม ที่ชั่งขาด 0.1 ปอนด์
กับ คิวทอง TKD.มวยไทย ที่ต้องลดน้ำหนักถึง 1.4 ปอนด์ก่อนผ่านพิกัด
การที่ชาลาวันเกือบเป๊ะตามพิกัดช่วยให้ร่างกายมีความสมดุลระหว่างความสดและความแน่นหนา ขณะที่คิวทองแม้จะได้รูปร่างค่อนข้างใหญ่ แต่ต้องแลกมาด้วยการเค้นน้ำหนักที่อาจส่งผลต่อความสดในยกท้าย ๆ ของศึกมวยไทยพลังใหม่ ครั้งนี้

ชาลาวันในฐานะมวยจากสายหยกขาวแสนชัยยิม น่าจะเน้นเชิงมวยและลูกเตะต่อยที่จัดจ้านชัดเจน ถ้ายืนระยะคุมเกมวงนอกได้ดี มีโอกาสใช้ความคล่องตัวบั่นทอนคู่ต่อสู้ทีละย่างก้าว
ส่วนคิวทอง TKD.มวยไทย จากชื่ออาจมีพื้นฐานจากศิลปะการต่อสู้หลากหลาย นอกจากมวยไทยแล้วอาจเคยฝึกสาย TKD มาก่อน ทำให้มีลูกเตะเร็วและคม
หากเขาสามารถใช้ความได้เปรียบด้านช่วงตัวและลูกเตะหนักให้เกิดประโยชน์ตั้งแต่ต้น ศึกมวยไทยพลังใหม่ คู่นี้ก็จะกลายเป็นศึกเชิงเตะที่ดุเดือดและวัดกันที่พลังก่อนความอึดของทั้งสองฝ่ายอย่างแท้จริง

คู่ที่ 5 ออกศึก ส.ราชสีห์มวยไทย vs ยอดสยาม ส.มณีวรรณมวยไทย (พิกัด 124 ปอนด์)

คู่ที่ห้าของศึกมวยไทยพลังใหม่ ในพิกัด 124 ปอนด์ ถือเป็นหนึ่งในคู่ที่สมดุลที่สุดในบัตร เพราะทั้ง ออกศึก ส.ราชสีห์มวยไทย และ ยอดสยาม ส.มณีวรรณมวยไทย ต่างชั่งได้ขาด 0.4 ปอนด์เท่ากัน
ทำให้ไม่มีใครได้เปรียบเสียเปรียบด้านสรีระหรือความตึงจากการลดน้ำหนักอย่างมีนัยสำคัญ
ในสถานการณ์แบบนี้ สิ่งตัดสินผลบนเวทีราชดำเนินในศึกมวยไทยพลังใหม่ มักจะไม่ใช่เรื่องของตัวเลขบนตาชั่ง แต่เป็นเรื่องของ “ฝีมือ” และ “สมาธิ” ล้วน ๆ

ออกศึก ส.ราชสีห์มวยไทย จากชื่อก็บ่งบอกถึงมวยสายลุยที่พร้อมเปิดศึกทุกยก หากเขาสามารถใช้ความดุดันและจังหวะบุกที่ต่อเนื่อง บวกกับลูกเตะลูกต่อยหนัก ๆ กดดันยอดสยามได้ ก็มีโอกาสครองเกมในสายตากรรมการ
ในทางกลับกัน ยอดสยาม ส.มณีวรรณมวยไทย อาจมีจุดเด่นด้านเชิงมวยและการป้องกันตัวที่เอาตัวรอดได้ดี
หากสามารถใช้จังหวะสองและการโต้กลับที่เฉียบคม ก็อาจพลิกเกมให้ฝ่ายออกศึกต้องระวังมากขึ้น
ไฟต์นี้ในศึกมวยไทยพลังใหม่ จึงน่าจะเป็นการวัดกันแบบมวยฝีมือสองคนที่สูสีและตัดสินกันด้วยรายละเอียดเล็ก ๆ ในทุกยก

คู่ที่ 6 ปราบปรามเล็ก ช.วสันต์ vs ขจรไกล สส.ต้อยแปดริ้ว (พิกัด 140–142 ปอนด์)

คู่ที่หกเป็นมวยรุ่นใหญ่ในศึกมวยไทยพลังใหม่ โดย ปราบปรามเล็ก ช.วสันต์ ขึ้นชกที่พิกัด 140 ปอนด์ แต่ชั่งได้ขาด 1.0 ปอนด์
ส่วน ขจรไกล สส.ต้อยแปดริ้ว อยู่พิกัด 142 ปอนด์ และต้องลดน้ำหนัก 1.0 ปอนด์
สถานการณ์นี้ทำให้ปราบปรามเล็กมีตัวเบากว่าเล็กน้อยและน่าจะได้เปรียบด้านความคล่อง ส่วนขจรไกลมีตัวใหญ่กว่าแต่ต้องพิสูจน์ว่าการลดน้ำหนักที่ทำให้ตัวตึงมากขึ้นจะไม่กระทบแรงและความทนทานในช่วงท้ายของไฟต์

ปราบปรามเล็กอาจเลือกใช้แผนเกมแบบเน้นความเร็วและการเข้าออกที่รวดเร็ว ไม่ยืดเกมปะทะหนักกับขจรไกลมากนัก
หากเขาสามารถทำให้คู่ต่อสู้ต้องเดินตามและใช้แรงวิ่งไล่ในแต่ละยก ก็จะช่วยเพิ่มอัตราได้เปรียบในช่วงปลายไฟต์
ขจรไกล สส.ต้อยแปดริ้ว ในฐานะมวยตัวใหญ่ มีความได้เปรียบด้านแรงปะทะและอาจเน้นการเดินเข้าหา กดดันให้ปราบปรามเล็กต้องปักหลักสู้มากขึ้น
ไฟต์นี้ในศึกมวยไทยพลังใหม่ จึงมีโอกาสเป็นเกมที่ตัดสินกันระหว่างความหนักแน่นกับความคล่องตัวอย่างแท้จริง และอาจเป็นคู่ที่แฟนมวยรุ่นใหญ่ตั้งตารอเป็นพิเศษ

คู่ที่ 7 สองแผ่นดิน ช.แก้ววิเศษ vs แสนรัก ซุปเปอร์เล็กมวยไทย (พิกัด 131 ปอนด์)

คู่ที่เจ็ดในพิกัด 131 ปอนด์คือการปะทะกันของ สองแผ่นดิน ช.แก้ววิเศษ ที่ต้องลดน้ำหนัก 0.2 ปอนด์ และ แสนรัก ซุปเปอร์เล็กมวยไทย ที่ชั่งได้ตามพิกัด
ความต่างของทั้งสองไม่มากในด้านน้ำหนัก แต่ชื่อของทั้งคู่ต่างมีเสน่ห์ในตัวเอง โดยสองแผ่นดินให้ภาพของมวยเดินบู๊ที่พร้อมชนในทุกจังหวะ
ส่วนแสนรัก ซุปเปอร์เล็กมวยไทย ให้ความรู้สึกของมวยฝีมือที่มีลูกเล่นและความนุ่มนวลในเชิงมวยมากกว่า
จุดนี้ทำให้ไฟต์ของศึกมวยไทยพลังใหม่ คู่นี้น่าจะเป็นการชนกันของสองสไตล์ที่แตกต่างแต่ลงตัว

สองแผ่นดินอาจเปิดเกมด้วยการเดินเข้าหา พยายามใช้ลูกเตะบวกหมัดและคุมจังหวะให้อีกฝ่ายเป็นฝ่ายถอยมากกว่าบุก
ในขณะที่แสนรักอาจเน้นการถอยฉากและดักโต้ด้วยแข้งและหมัดที่เฉียบคม ใช้ความชัดเจนของอาวุธและการอ่านเกมที่แม่นยำเป็นตัวชูโรง
หากสองแผ่นดินเร่งเกมเร็วแต่เปิดช่องให้แสนรักได้ออกอาวุธชัด ๆ หลายครั้ง ไฟต์นี้ก็อาจถูกตัดสินไปในทิศทางที่แฟนมวยเซียนเชิงมวยชื่นชอบ
แต่ถ้าสองแผ่นดินสามารถกดดันจนแสนรักต้องติดเชือกหรือยืนแลกบ่อยครั้ง ศึกมวยไทยพลังใหม่ คู่นี้ก็มีโอกาสลุกเป็นไฟอย่างแท้จริง

คู่ที่ 8 โล่ห์เงิน กรวยในเมืองยิมส์ vs เก้าล้าน ศิษย์กำนันเหน่ง (พิกัด 135 ปอนด์)

คู่ที่แปดพิกัด 135 ปอนด์ เป็นการพบกันของ โล่ห์เงิน กรวยในเมืองยิมส์ ที่ชั่งได้ขาด 0.1 ปอนด์ กับ เก้าล้าน ศิษย์กำนันเหน่ง ที่ต้องลดถึง 1.1 ปอนด์
โล่ห์เงินจึงน่าจะได้เปรียบในเรื่องความสบายตัวและความมั่นคงของพละกำลัง ขณะที่เก้าล้านแม้จะต้องเค้นน้ำหนักลงมาแต่ก็น่าจะมาพร้อมความมุ่งมั่นสูงในการพิสูจน์ตัวเองจากค่ายศิษย์กำนันเหน่ง
ไฟต์นี้บนสังเวียนราชดำเนินในศึกมวยไทยพลังใหม่ จึงน่าจับตาผลกระทบจากการลดน้ำหนักของเก้าล้านเป็นพิเศษ

โล่ห์เงินมีโอกาสใช้แผนคุมกลางเวทีด้วยลูกเตะและหมัดที่หลากหลาย พยายามรักษาระยะและไม่เปิดช่องให้เก้าล้านเข้าประชิดง่าย ๆ
ส่วนเก้าล้านอาจเลือกใช้เกมบุกหนักตั้งแต่ต้น เพราะรู้ว่าการยืดเกมยาวอาจทำให้ตัวเองเสียเปรียบในด้านความสด
ถ้าหากเก้าล้านสามารถทำลายเกมของโล่ห์เงินได้ตั้งแต่ต้นและสร้างความได้เปรียบด้านคะแนนหรือทำให้คู่ต่อสู้เสียทรง
ศึกมวยไทยพลังใหม่ คู่นี้ก็จะเป็นตัวอย่างที่ดีของการ “สู้ด้วยใจ” มากกว่าตัวเลขบนตาชั่ง แต่หากโล่ห์เงินยืนระยะได้และรอจังหวะสวนกลับอย่างชัดเจน ก็มีโอกาสคว้าชัยด้วยความนิ่งเช่นกัน

คู่ที่ 9 สองฝั่งโขง เอฟ.เอ.กรุ๊ป vs โล่ห์ทอง กรวยในเมืองยิมส์ (พิกัด 136–137 ปอนด์)

คู่ปิดท้ายของศึกมวยไทยพลังใหม่ เป็นการพบกันของ สองฝั่งโขง เอฟ.เอ.กรุ๊ป กับ โล่ห์ทอง กรวยในเมืองยิมส์ ในพิกัด 136–137 ปอนด์
โดยสองฝั่งโขงต้องลดน้ำหนักถึง 2.3 ปอนด์เพื่อชั่งให้ผ่าน 136 ปอนด์ ขณะที่โล่ห์ทองลดเพียง 0.4 ปอนด์จากพิกัด 137 ปอนด์
ตัวเลขนี้ชัดเจนว่าด้านสองฝั่งโขงเค้นร่างกายอย่างหนักก่อนถึงวันชั่ง ทำให้ไฟต์นี้ถูกจับตาอย่างมากว่าการลดน้ำหนักระดับนี้จะส่งผลแค่ไหนต่อสภาพร่างกายในยกท้าย ๆ บนเวทีราชดำเนิน

สองฝั่งโขง เอฟ.เอ.กรุ๊ป อาจต้องวางแผนเน้นเกมต้นและกลางยกให้ได้เปรียบอย่างชัดเจน พยายามไม่เล่นเกมลากยาวเกินจำเป็น
ส่วนโล่ห์ทอง กรวยในเมืองยิมส์ ซึ่งตัวไม่ตึงน้ำหนักมากนักอาจเลือกใช้แท็กติกประหยัดแรงในช่วงต้น แล้วมาเร่งเครื่องในยกสี่และยกห้า
ศึกมวยไทยพลังใหม่ คู่นี้จึงเหมาะที่จะเป็นคู่ปิดท้ายอย่างยิ่ง เพราะมีทั้งเรื่องพิกัดใหญ่ แรงปะทะที่ดุเดือด และดราม่าด้านการลดน้ำหนักที่อาจทำให้ผลการแข่งขันพลิกไปมาได้ตลอดเวลาจนเสียงระฆังสุดท้ายดังขึ้น

เจาะลึกผลชั่งน้ำหนักและผลต่อเกมในศึกมวยไทยพลังใหม่

เมื่อมองภาพรวมของผลการชั่งน้ำหนักในศึกมวยไทยพลังใหม่ จะเห็นว่ามีความแตกต่างกันอย่างชัดเจนระหว่างนักมวยที่ชั่งได้ตามพิกัด ขาดเล็กน้อย และนักมวยที่ต้องลดในระดับ 1 ปอนด์ขึ้นไป
อย่างเช่น แอร์โรว์ที่ลดถึง 1.8 ปอนด์ คิวทองที่ลด 1.4 ปอนด์ เก้าล้านที่ลด 1.1 ปอนด์ พลายแก้วที่ลด 1.1 ปอนด์ และสองฝั่งโขงที่ลดมากถึง 2.3 ปอนด์
การลดน้ำหนักในระดับนี้ หากไม่บริหารจัดการอย่างดี อาจทำให้ร่างกายเสียสมดุล น้ำในร่างกายลดลงมาก และสมรรถภาพการยืนระยะในช่วงยกท้าย ๆ ด้อยลงกว่าปกติอย่างเห็นได้ชัด

ในทางกลับกัน นักมวยที่ชั่งได้ตามพิกัดหรือขาดเพียง 0.1–0.4 ปอนด์ เช่น จ้าวซัน ยอดสยาม ออกศึก โล่ห์เงิน หรือแสนรัก
มักได้รับการมองว่ามีความพร้อมในแง่ความสดของร่างกาย และมีโอกาสกล้าใช้แผนเกมที่เน้นความยืดเยื้อหรือเล่นจังหวะมากขึ้น
ดังนั้นแฟนมวยที่ติดตามศึกมวยไทยพลังใหม่ ไม่ควรมองข้ามตัวเลขบนตาชั่ง เพราะมันอาจเป็นตัวแปรสำคัญที่ทำให้มวยตัวเก่งบางคนแผ่วลงให้เห็นในช่วงยกท้าย
หรือในทางกลับกัน ก็อาจทำให้มวยรองที่ตัวสดกว่ามีโอกาสพลิกโผคว้าชัยเหนือชื่อชั้นที่เหนือกว่าได้อย่างน่าตื่นเต้นบนเวทีราชดำเนิน

แนะนำค่ายมวยและสังกัดของนักมวยในศึกมวยไทยพลังใหม่

ศึกมวยไทยพลังใหม่ ไม่ได้โดดเด่นเฉพาะในแง่ของจำนวนคู่มวยและการจับคู่ที่สูสี แต่ยังสะท้อนให้เห็นถึงการมีส่วนร่วมของค่ายมวยหลากหลายแห่งที่ร่วมส่งนักมวยขึ้นรับโอกาสบนเวทีราชดำเนิน
ค่ายอย่าง กรุงเทคโน ส.ทองภูบาล ไรซิ่งมวยไทย ศักดิ์อนุพงษ์ พ.เพชรโพธิ์ทอง ส.บุญมีฤทธิ์ หยกขาวแสนชัยยิม TKD.มวยไทย ส.ราชสีห์มวยไทย ส.มณีวรรณมวยไทย เอฟ.เอ.กรุ๊ป และกรวยในเมืองยิมส์
ล้วนมีบทบาทในรายการนี้ และช่วยเติมเต็มคอนเซ็ปต์ของ “พลังใหม่” ด้วยสไตล์และแนวทางการปั้นนักมวยที่แตกต่างกันแต่มีเป้าหมายร่วมกันคือพัฒนามวยไทยให้แข็งแกร่งต่อเนื่อง

สายกรุงเทคโน ไรซิ่งมวยไทย และ ส.ทองภูบาล สายพลังใหม่ระดับต้นรายการ

จ้าวซันจากกรุงเทคโน และแอร์โรว์จากไรซิ่งมวยไทย คือสองตัวแทนนักมวยที่เปิดศึกให้กับศึกมวยไทยพลังใหม่ ในช่วงต้นบัตร
ทั้งสองค่ายมีจุดร่วมคือการปั้นมวยที่มีความพร้อมทั้งด้านร่างกายและความเป็นมืออาชีพในเวทีระดับใหญ่
ในขณะที่ฝั่งขงเบ้ง ส.ทองภูบาล และสิงห์ศึก ศักดิ์อนุพงษ์ ก็เป็นตัวแทนของสายสร้างที่ต้องการส่งมวยของตัวเองมาพิสูจน์บนเวทีราชดำเนินเช่นกัน
เมื่อทั้งหมดมาพบกันในรายการเดียว แฟนมวยจึงได้เห็นการปะทะกันของ “พลังใหม่” จากหลายสำนักที่มีแนวทางแตกต่างกันอย่างชัดเจน

หยกขาวแสนชัยยิม ซุปเปอร์เล็กมวยไทย และกลุ่มค่ายสายเทคนิค

ชาลาวันจากหยกขาวแสนชัยยิม และแสนรักจากซุปเปอร์เล็กมวยไทย เป็นตัวแทนของสายมวยเทคนิคที่ขึ้นชื่อเรื่องเชิงมวยและความประณีตในการออกอาวุธ
ค่ายเหล่านี้มักให้ความสำคัญกับรายละเอียดของการฝึกซ้อม ทั้งเรื่องการยืนระยะ การป้องกันตัว และการเล่นจังหวะสอง ทำให้มวยในสังกัดมีสไตล์ดูสะอาดตา ถูกใจสายเซียนเชิงมวย
เมื่อมาชนกับมวยสายบู๊จากค่ายอื่น ๆ ในศึกมวยไทยพลังใหม่ จึงช่วยสร้างความกลมกล่อมระหว่างความมันส์กับความสวยงามของเชิงมวยในรายการเดียวได้เป็นอย่างดี

เอฟ.เอ.กรุ๊ป และ กรวยในเมืองยิมส์ สองสายสร้างรุ่นใหญ่ปิดท้ายรายการ

สองฝั่งโขงจาก เอฟ.เอ.กรุ๊ป และ โล่ห์เงิน–โล่ห์ทอง จากกรวยในเมืองยิมส์ คือกลุ่มนักมวยในพิกัดใหญ่ช่วงท้ายบัตรที่ช่วยยกระดับความเข้มข้นของศึกมวยไทยพลังใหม่ ให้ทะยานขึ้นไปอีกขั้น
นักมวยในพิกัดเกิน 135 ปอนด์ขึ้นไปมักมีแรงปะทะที่หนักและสามารถเปลี่ยนรูปมวยได้เพียงหมัดหรือเข่าที่เข้าเป้าเพียงครั้งเดียว
เมื่อได้เวทีอย่างราชดำเนินเป็นฉากหลัง ทำให้คู่มวยจากสองค่ายนี้กลายเป็นแม่เหล็กดึงสายตาของแฟนมวยที่รอชมการปิดรายการแบบมันส์สุดเหวี่ยงอย่างแท้จริง

ข้อมูลสำคัญสำหรับแฟนมวยที่ต้องการติดตามศึกมวยไทยพลังใหม่

สำหรับแฟนมวยที่ต้องการชมศึกมวยไทยพลังใหม่ แบบสด ๆ ถึงขอบเวที ควรวางแผนเดินทางสู่เวทีมวยราชดำเนินให้ถึงก่อนเวลาเริ่มชกประมาณ 30–60 นาที
เพื่อให้มีเวลาเพียงพอสำหรับการหาที่จอดรถ ซื้อบัตรผ่านประตู และเลือกที่นั่งที่มุมมองดีที่สุด
การไปถึงก่อนยังช่วยให้ไม่พลาดคู่เปิดรายการที่มักเป็นมวยไฟแรงและช่วยสร้างอารมณ์ร่วมให้พร้อมลุ้นคู่หลัง ๆ ได้อย่างเต็มที่
อย่าลืมเตรียมน้ำดื่มและอุปกรณ์ป้องกันเสียงดังหากพาเด็กเล็กไปชม เพราะบรรยากาศในเวทีระหว่างศึกมวยไทยพลังใหม่ มักเต็มไปด้วยเสียงเชียร์อันเร้าใจ

ในส่วนของแฟนมวยที่สะดวกติดตามศึกมวยไทยพลังใหม่ ผ่านหน้าจอทีวีหรือช่องทางออนไลน์
การจดโปรแกรมคู่ชก พิกัด และผลการชั่งน้ำหนักไว้ล่วงหน้าจากบทความนี้ จะช่วยให้การรับชมมีมิติและสนุกกว่าการดูโดยไม่รู้อะไรเลย
เพราะจะสามารถคาดเดาได้ว่าคู่ไหนน่าจะเป็นเกมเร็ว คู่ไหนอาจมีดราม่าด้านแรงปลาย และคู่ไหนคือ “มวยรองตัวสด” ที่อาจสร้างเซอร์ไพรส์ให้แฟนมวยได้
การเตรียมตัวเล็กน้อยเช่นนี้จะทำให้ศึกมวยไทยพลังใหม่ กลายเป็นค่ำคืนแห่งความบันเทิงและการวิเคราะห์อย่างมีอรรถรสสำหรับทุกคน

สรุปไฮไลต์ศึกมวยไทยพลังใหม่ 26 พฤศจิกายน 2568

เมื่อประเมินภาพรวมทั้งหมด ศึกมวยไทยพลังใหม่ ในวันพุธที่ 26 พฤศจิกายน 2568 ณ เวทีมวยราชดำเนิน
ถือเป็นบัตรมวยที่ออกแบบมาอย่างลงตัวเพื่อสะท้อน “พลังใหม่” ของวงการมวยไทยอย่างแท้จริง
ด้วยจำนวน 9 คู่ ครอบคลุมพิกัด 120–142 ปอนด์ และมีการจับคู่ที่คำนึงถึงทั้งความสูสี เรื่องน้ำหนัก และเสน่ห์ของค่ายมวยแต่ละแห่ง
ทำให้รายการนี้ไม่เพียงตอบโจทย์แฟนมวยที่ชื่นชอบความมันส์ แต่ยังให้พื้นที่สำคัญแก่เหล่านักมวยรุ่นใหม่ได้พิสูจน์ตัวเองบนเวทีระดับตำนานอย่างราชดำเนินอีกด้วย

คู่ที่ควรจับตามองเป็นพิเศษในศึกมวยไทยพลังใหม่ ได้แก่ แอร์โรว์ ไรซิ่งมวยไทย vs สิงห์ศึก ศักดิ์อนุพงษ์ ที่มีความแตกต่างด้านพิกัดและน้ำหนักอย่างชัดเจน
คู่ของชาลาวัน หยกขาวแสนชัยยิม vs คิวทอง TKD.มวยไทย ที่เป็นการชนกันระหว่างมวยเชิงฝีมือกับมวยที่เค้นน้ำหนักหนัก
รวมถึงไฟต์ท้าย ๆ อย่าง โล่ห์เงิน vs เก้าล้าน และ สองฝั่งโขง vs โล่ห์ทอง ที่เป็นการสาดพลังของมวยรุ่นใหญ่ในพิกัดเกิน 135 ปอนด์ขึ้นไป
ทั้งหมดนี้ทำให้ศึกมวยไทยพลังใหม่ รอบนี้เป็นอีกหนึ่งค่ำคืนที่แฟนมวยไม่ควรพลาด หากต้องการสัมผัส “พลังใหม่” ของวงการมวยไทยผ่านสายตาตัวเองอย่างใกล้ชิด