ศึกเพชรยินดี ในวันพฤหัสบดีที่ 4 ธันวาคม 2568 ณ สนามมวยเวทีราชดำเนิน คือหนึ่งในบัตรมวยไทยที่แฟนหมัดมวยตัวจริงเฝ้ารอคอยในช่วงปลายปี เพราะศึกเพชรยินดี ขึ้นชื่อเรื่องการคัดเลือกคู่มวยที่มีความสูสีและคุณภาพสูง ตอบโจทย์ทั้งสายเชียร์และสายวิเคราะห์อย่างแท้จริง
บัตรนี้เริ่มชกตั้งแต่เวลา 18.00 น. เป็นต้นไป รวมทั้งหมด 9 คู่ ครอบคลุมตั้งแต่มวยเล็กรุ่น 102 ปอนด์ ไปจนถึงมวยใหญ่พิกัด 135 ปอนด์ บนสังเวียนราชดำเนินอันเก่าแก่
แฟนมวยจึงไม่เพียงจะได้เห็นการปะทะกันของนักชกจากค่ายดังทั่วประเทศ แต่ยังได้สัมผัสบรรยากาศค่ำคืนมวยไทยสไตล์เพชรยินดีที่เข้มข้นในทุกยกทุกคู่

บัตรชกศึกเพชรยินดี รอบนี้มีทั้งมวยดาวรุ่งพลังสดและมวยเก๋าประสบการณ์ ที่ถูกจับมาชนกันในพิกัดที่เหมาะสม ทำให้มีประเด็นให้พูดถึงหลายมิติ ไม่ว่าจะเป็นการเปรียบพิกัด น้ำหนักชั่งจริงที่มีทั้งลดและขาด การวางเกมของค่ายมวยใหญ่กับค่ายภูธร
รวมไปถึงการประชันชื่อชั้นของนักชกอย่าง เสาโท อ.อัจฉริยะ, รุ่งเรืองเล็ก เกียรติฟ้าลิขิต, น้ำตาเดือด เกียรติฉัตรชัย, วูฅอง ศิษย์เจริญวิทย์ และ ไก่ป่า ว.สังข์ประไพ ที่ถูกจัดวางให้อยู่ตำแหน่งสำคัญของบัตร
ทั้งหมดนี้ทำให้ศึกเพชรยินดี ในค่ำคืนนี้มีความน่าสนใจครบทุกด้าน ทั้งในเชิงฝีมือและในเชิงกลยุทธ์บนผืนผ้าใบราชดำเนิน

โปรแกรมมวยศึกเพชรยินดี 4 ธันวาคม 2568 : เวทีมวยราชดำเนิน วิเคราะห์ทุกคู่ก่อนชก

ภาพรวมศึกเพชรยินดี 4 ธันวาคม 2568 เวทีราชดำเนิน

ศึกเพชรยินดี เป็นหนึ่งในโปรโมชันมวยไทยที่ยืนหยัดอยู่ในวงการอย่างมั่นคงมานาน และเวทีประจำอย่างราชดำเนินก็ยิ่งเสริมภาพลักษณ์ความขลังของรายการเข้าไปอีก
การ์ดในวันที่ 4 ธันวาคม 2568 นี้ ใช้เวทีราชดำเนินเป็นสนามหลัก พร้อมเปิดไฟในช่วงค่ำเวลา 18.00 น. เพื่อรองรับแฟนมวยที่คุ้นชินกับบรรยากาศมวยไทยกลางแสงไฟและเสียงเชียร์รอบสังเวียน
บัตรนี้มีคู่ชกจำนวน 9 คู่ ซึ่งถูกเรียงลำดับอย่างมีจังหวะ เริ่มจากมวยเล็ก 102 ปอนด์ ที่เน้นความเร็วและจังหวะ ก่อนจะไต่ระดับไปยังมวยพิกัดกลาง 112, 114, 119, 121, 123, 126 และ 132 ปอนด์ และสูงสุดที่ 135 ปอนด์ในคู่กลางบัตร
จึงมั่นใจได้ว่าตลอดระยะเวลาการแข่งขัน จะไม่มีช่วงใดที่อารมณ์ของผู้ชมตกลงอย่างแน่นอน

ในด้านรายชื่อค่ายมวย ศึกเพชรยินดี รอบนี้มีทั้งค่ายสายสร้างมวยเยาวชนและค่ายใหญ่ระดับหัวแถวเข้าร่วมอย่างคับคั่ง ไม่ว่าจะเป็น พานทองยิมส์, ศูนย์กีฬากุดฉิม, ท.เทพซุนกวน, จ.เมืองศรี, เพชรพราวฟ้า, ลูกเจ้าแม่ไทรทอง, พันธุ์ดักษ์รัตนบุรี, สก.เอกวิน, เทพภาคิน, เกียรติฟ้าลิขิต, เกียรติฉัตรชัย, อ.อัจฉริยะ, ต.สุรัตน์, อึ่งอุบล และ ว.สังข์ประไพ
สิ่งเหล่านี้สะท้อนว่า ศึกเพชรยินดี ยังคงรักษาจุดยืนในการเปิดเวทีให้กับค่ายต่าง ๆ ทั่วประเทศ ทั้งค่ายภูธรและค่ายเมืองหลวง ได้ส่งนักมวยในสังกัดขึ้นชิงชัยในสนามมาตรฐานสูงสุดแห่งหนึ่งของประเทศ
พร้อมทั้งเปิดโอกาสให้มวยหน้าใหม่ได้แจ้งเกิด และให้มวยมีชื่อได้พิสูจน์ตนเองต่อสายตาแฟนมวยอย่างต่อเนื่อง

ตารางการแข่งขัน ศึกเพชรยินดี 4 ธันวาคม 2568

ตารางด้านล่างนี้แสดงโปรแกรมมวยของศึกเพชรยินดี ในวันพฤหัสบดีที่ 4 ธันวาคม 2568 แบบครบทุกคู่ พร้อมระบุพิกัดและสถานะน้ำหนักชั่งจริงของทั้งมุมแดงและมุมน้ำเงิน
ข้อมูลดังกล่าวถือเป็นหัวใจสำคัญสำหรับสายวิเคราะห์มวย เพราะการชั่งได้ “ขาด” หรือ “ลด” น้ำหนักล้วนมีผลต่อสภาพร่างกายของนักชก และอาจกลายเป็นปัจจัยชี้ขาดว่าใครจะยืนระยะได้ดีกว่าในยกสุดท้ายของการต่อสู้บนสังเวียนศึกเพชรยินดี

คู่ที่ มุมแดง ค่าย/สังกัด พิกัด (ปอนด์) ชั่งได้ สถานะน้ำหนัก มุมน้ำเงิน ค่าย/สังกัด พิกัด (ปอนด์) ชั่งได้ สถานะน้ำหนัก หมายเหตุ
1 เจริญบุญเล็ก พานทองยิมส์ 102.0 101.5 ขาด 0.5 ปอนด์ วราพล ศูนย์กีฬากุดฉิม 102.0 99.9 ลด 2.1 ปอนด์ มวยเปิดหัวพิกัด 102 ปอนด์
2 ยิ้มสยาม ท.เทพซุนกวน 112.0 111.4 ลด 0.6 ปอนด์ พลอยมงคล จ.เมืองศรี 112.0 111.6 ลด 0.4 ปอนด์ มวยเล็กเชิงจัด 112 ปอนด์
3 แพรวพราว เพชรพราวฟ้า 114.0 113.8 ลด 0.2 ปอนด์ โด่งดัง ลูกเจ้าแม่ไทรทอง 114.0 113.9 ขาด 0.1 ปอนด์ คู่สูสีกลางบัตรพิกัด 114 ปอนด์
4 แคนชัย พันธุ์ดักษ์รัตนบุรี 123.0 122.4 ลด 0.6 ปอนด์ เพชรรุ่ง สก.เอกวิน 123.0 122.2 ลด 0.8 ปอนด์ มวยพิกัด 123 ปอนด์ กระดูกดีทั้งคู่
5 โยธาฤทธิ์ เทพภาคิน 135.0 134.2 ลด 0.8 ปอนด์ พีระพัฒน์ ศิษย์เสี่ยส่ง 135.0 133.3 ขาด 1.7 ปอนด์ รุ่นใหญ่ 135 ปอนด์ หนักแน่นทั้งคู่
6 รุ่งเรืองเล็ก เกียรติฟ้าลิขิต 126.0 125.5 ขาด 0.5 ปอนด์ น้ำตาเดือด เกียรติฉัตรชัย 126.0 124.4 ลด 1.6 ปอนด์ ไฟต์ค่ายเกียรติฯ ชนกันเองพิกัด 126 ป.
7 เสาโท อ.อัจฉริยะ 119.0 116.7 ลด 2.3 ปอนด์ เจเจ เทพภาคิน 119.0 118.8 ขาด 0.2 ปอนด์ คู่เด่นมวยดังพิกัด 119 ปอนด์
8 แอ๊ดเทวดา ต.สุรัตน์ 121.0 120.4 ลด 0.6 ปอนด์ หนึ่งอำนาจ อึ่งอุบล 121.0 120.7 ขาด 0.3 ปอนด์ มวยกลางบัตรสายบู๊–ฝีมือ
9 วูฅอง ศิษย์เจริญวิทย์ 132.0 131.8 ขาด 0.2 ปอนด์ ไก่ป่า ว.สังข์ประไพ 132.0 130.5 ลด 1.5 ปอนด์ คู่ปิดสุดเข้มข้นพิกัด 132 ป.

จากตารางการแข่งขันศึกเพชรยินดี จะเห็นว่ามีทั้งนักมวยที่ชั่งได้ตามพิกัด ลดน้ำหนัก และขาดเล็กน้อยผสมผสานกันไปในแต่ละคู่ ทำให้เราสามารถคาดการณ์ได้คร่าว ๆ ว่าไฟต์ใดจะมีประเด็นด้านความฟิตและแรงปลายมากเป็นพิเศษ
ตัวอย่างเช่น วราพลที่ลดถึง 2.1 ปอนด์ และเสาโทที่ลดมากถึง 2.3 ปอนด์ รวมไปถึงน้ำตาเดือดที่ลด 1.6 ปอนด์ และไก่ป่าที่ลด 1.5 ปอนด์ ล้วนเป็นคู่มวยที่แฟนมวยต้องจับตามองว่าการฟื้นตัวหลังชั่งจะเป็นอย่างไร
ในขณะที่มวยอย่างแพรวพราว, วูฅอง หรือเจเจ ที่ชั่งได้ขาดเล็กน้อยหรือใกล้เคียงพิกัด อาจได้เปรียบด้านความเบาสบายของร่างกายเมื่อเทียบกับฝ่ายที่เค้นน้ำหนักลงมาอย่างหนัก

วิเคราะห์คู่มวย ศึกเพชรยินดี 4 ธันวาคม 2568

การวิเคราะห์คู่มวยในศึกเพชรยินดี ครั้งนี้ เราจะมององค์ประกอบหลายด้าน ทั้งน้ำหนักที่ชั่งจริง สไตล์การชกของนักมวยแต่ละคน และภาพรวมของค่ายที่ปลุกปั้นมา
เพื่อให้แฟนมวยมองเห็นทั้งมุมเกมการชกและความเสี่ยงด้านแรงปลายในยกท้าย ตลอดจนความเป็นไปได้ของมวยพลิกมวยรอง
โดยทุกคู่ทางบทความจะเจาะลึกทีละคู่ ไล่ไปตามลำดับโปรแกรมการแข่งขัน เพื่อให้สอดคล้องกับการรับชมของแฟนมวยในค่ำคืนจริง

คู่ที่ 1 เจริญบุญเล็ก พานทองยิมส์ vs วราพล ศูนย์กีฬากุดฉิม (พิกัด 102 ปอนด์)

คู่เปิดศึกเพชรยินดี เป็นมวยเล็กพิกัด 102 ปอนด์ระหว่าง เจริญบุญเล็ก พานทองยิมส์ ฝั่งมุมแดง กับ วราพล ศูนย์กีฬากุดฉิม ฝั่งมุมน้ำเงิน
โดยเจริญบุญเล็กชั่งได้ 101.5 ปอนด์ ขาดไป 0.5 ปอนด์ ทำให้ร่างกายเบาสบาย เหมาะกับเกมเร็ว ในขณะที่วราพลต้องลดน้ำหนักไปถึง 2.1 ปอนด์ ก่อนจะชั่งได้ 99.9 ปอนด์
ซึ่งเป็นน้ำหนักที่ต่ำกว่าพิกัดจริงค่อนข้างมาก แสดงให้เห็นว่าตัวจริงของวราพลอาจใหญ่กว่าและต้องเค้นน้ำหนักลงมาพอสมควร
ความต่างนี้ทำให้ฝ่ายแดงอาจมีความสดในยกท้ายมากกว่า ในขณะที่ฝ่ายน้ำเงินอาจได้ความกระชับของกล้ามและแรงปะทะดีในช่วงต้นยกหากฟื้นตัวได้เต็มที่

ในเชิงรูปเกม เจริญบุญเล็กอาจเลือกใช้ความเร็วและความคล่องในการเคลื่อนที่เป็นจุดขาย ใช้แข้งหน้าและหมัดตรงคอยกวนจนวราพลไม่สามารถตั้งการ์ดเดินเข้าหาได้สะดวก
ส่วนวราพล ศูนย์กีฬากุดฉิม หากต้องการใช้ประโยชน์จากขนาดตัวเดิมของตนเอง ต้องพยายามเดินบี้ตั้งแต่ต้นยก พยายามปิดพื้นที่ให้เจริญบุญเล็กต้องยืนปักหลักแลกมากขึ้น
อย่างไรก็ตาม หากน้ำหนักที่ลดไปส่งผลให้วราพลอ่อนแรงเร็วกว่าที่ควร ในช่วงยกสอง–สามก็อาจจะเห็นเกมพลิกเป็นฝ่ายเจริญบุญเล็กที่เร่งเครื่องและเก็บคะแนนยาวได้แบบชัดเจนในสายตากรรมการ

คู่ที่ 2 ยิ้มสยาม ท.เทพซุนกวน vs พลอยมงคล จ.เมืองศรี (พิกัด 112 ปอนด์)

คู่ที่สองของศึกเพชรยินดี เป็นมวยพิกัด 112 ปอนด์ระหว่าง ยิ้มสยาม ท.เทพซุนกวน กับ พลอยมงคล จ.เมืองศรี ซึ่งทั้งคู่ชั่งได้ “ลด” น้ำหนักลงมาเล็กน้อยคือ ยิ้มสยามลด 0.6 ปอนด์ และพลอยมงคลลด 0.4 ปอนด์
แสดงให้เห็นว่าทั้งสองมีความตั้งใจคุมพิกัดในระดับมืออาชีพแต่ไม่ได้เค้นหนักจนเกินไป
พิกัด 112 ปอนด์เป็นรุ่นที่ผสมผสานทั้งความเร็วและพละกำลังเข้าด้วยกันอย่างลงตัว เกมจึงมักเต็มไปด้วยการแลกแข้งสวย ๆ กับการปะทะวงในที่น่าตื่นเต้น
แฟนมวยจึงสามารถคาดหวังได้ว่าไฟต์นี้จะไม่ใช่แค่เกมแต้มเรียบ ๆ แต่จะมีจังหวะบุกสวนกลับที่ดุเดือดให้ได้ลุ้นกันตลอดสามยก

ยิ้มสยาม ท.เทพซุนกวน มีชื่อที่สะท้อนถึงความเข้าถึงง่ายของบุคลิกและสไตล์มวยที่น่าจะเน้นเกมสนุก เอ็นเตอร์เทนคนดูด้วยการออกอาวุธต่อเนื่อง
ส่วนพลอยมงคล จ.เมืองศรี มาจากสายค่ายที่มักสร้างมวยเชิงดี มีพื้นฐานการป้องกันและสวนกลับได้อย่างมีคุณภาพ
ไฟต์นี้ในศึกเพชรยินดี จึงมีโอกาสเป็นเกมที่แบ่งเป็นสองโทนคือ ยิ้มสยามเป็นฝ่ายเดินเข้าทำหวังชิงพื้นที่และจังหวะออกอาวุธมากกว่า ขณะที่พลอยมงคลใช้การดักเตะและหมัดโต้ตอบในจังหวะที่คู่ชกเข้ามา
ผู้ชนะจึงอาจเป็นฝ่ายที่รักษารูปมวยและสมาธิได้ดีกว่าในจังหวะสำคัญของไฟต์ โดยเฉพาะในช่วงกลางถึงท้ายยกที่ความแม่นยำเริ่มมีบทบาทเหนือกว่าพลังดิบ

คู่ที่ 3 แพรวพราว เพชรพราวฟ้า vs โด่งดัง ลูกเจ้าแม่ไทรทอง (พิกัด 114 ปอนด์)

แพรวพราว เพชรพราวฟ้า พบกับ โด่งดัง ลูกเจ้าแม่ไทรทอง ในพิกัด 114 ปอนด์ ถือเป็นหนึ่งในคู่ที่น้ำหนักสมดุลที่สุดของศึกเพชรยินดี รอบนี้
โดยแพรวพราวลด 0.2 ปอนด์ ชั่งจริง 113.8 ปอนด์ ส่วนโด่งดังขาดเพียง 0.1 ปอนด์ ชั่งได้ 113.9 ปอนด์
ทำให้ทั้งสองมีน้ำหนักจริงแทบไม่ต่างกันเลยในเชิงสรีระ ซึ่งเป็นจุดที่แฟนมวยหลายคนชื่นชอบ เพราะเปิดให้ฝีมือและแผนการชกเข้ามามีบทบาทเต็มที่
พิกัดนี้ยังเป็นรุ่นที่ให้ทั้งความเร็วและแรงปะทะพอสมควร เหมาะอย่างยิ่งสำหรับการวัดกันทั้งสามยกแบบไม่มีใครหนีใครง่าย ๆ

แพรวพราว เพชรพราวฟ้า น่าจะมาในสไตล์มวยฝีมือพริ้ว มีจุดเด่นที่ลูกเตะปลายแขนและการเคลื่อนไหวที่มีชั้นเชิง ส่วนโด่งดัง ลูกเจ้าแม่ไทรทอง จากชื่ออาจสะท้อนความดุดันและความฮึกเหิมในแนวทางการต่อสู้
เกมในไฟต์นี้คาดว่าจะเต็มไปด้วยการหาจังหวะเจาะเข้าใส่กันแบบระมัดระวัง โดยทั้งสองฝ่ายต้องพยายามไม่เปิดช่องให้โดนหมัดหรือเข่าเต็ม ๆ เพราะความสูสีด้านน้ำหนักทำให้การพลาดเล็กน้อยอาจถูกใช้เป็นจุดสะสมคะแนนโดยคู่ต่อสู้ได้ทันที
ไฟต์นี้ในศึกเพชรยินดี จึงเหมาะอย่างยิ่งสำหรับแฟนมวยที่ชอบดูมวยเชิงสวย ๆ และการยื้อกินกันด้วยรายละเอียดเล็ก ๆ ตลอดทั้งสามยก

คู่ที่ 4 แคนชัย พันธุ์ดักษ์รัตนบุรี vs เพชรรุ่ง สก.เอกวิน (พิกัด 123 ปอนด์)

คู่ที่สี่ในพิกัด 123 ปอนด์ ระหว่าง แคนชัย พันธุ์ดักษ์รัตนบุรี กับ เพชรรุ่ง สก.เอกวิน เป็นคู่ที่ทั้งสองฝ่ายต้องลดน้ำหนักลงมาก่อนเล็กน้อย โดยแคนชัยลด 0.6 ปอนด์ ส่วนเพชรรุ่งลด 0.8 ปอนด์
ตัวเลขดังกล่าวชี้ว่าโครงสร้างร่างกายเดิมของทั้งสองน่าจะใหญ่กว่าพิกัดเล็กน้อย แต่ยังอยู่ในระดับที่ร่างกายสามารถปรับตัวได้ ไม่ใช่การรีดหนักจนเกินไป
ในสายตาแฟนมวย พิกัด 123 ปอนด์มักให้ภาพเกมที่ลงตัวทั้งด้านความเร็วและแรงชน ทำให้ไฟต์นี้มีโอกาสเป็นหนึ่งในคู่ที่ “มันส์ครบสูตร” ของศึกเพชรยินดี ในค่ำคืนนี้

แคนชัย จากค่ายพันธุ์ดักษ์รัตนบุรี เป็นมวยสายใต้ที่น่าจะมีลูกบู๊และความแข็งแรงเป็นทุนเดิม ใช้ความกล้าเดินเข้าหาและสาดอาวุธเพื่อกดดันคู่ชก
ส่วนเพชรรุ่ง สก.เอกวิน จากสายสร้างมวยคุณภาพ ก็น่าจะมีพื้นฐานเชิงมวยที่ดี ทั้งการออกแข้ง เข่า และหมัดที่ค่อนข้างครบ
หากไฟต์นี้กลายเป็นเกมเดินชนแลกกันกลางเวที ฝ่ายที่สามารถ “เลือกจังหวะออกมากกว่ารับ” จะได้เปรียบอย่างชัดเจน
และเพราะทั้งสองลดน้ำหนักพอ ๆ กัน การฟื้นตัวหลังชั่งจะเป็นตัวชี้ว่าฝ่ายใดสามารถรักษาความแรงในช่วงยกสามไว้ได้ดีกว่าอีกฝ่ายหนึ่ง

คู่ที่ 5 โยธาฤทธิ์ เทพภาคิน vs พีระพัฒน์ ศิษย์เสี่ยส่ง (พิกัด 135 ปอนด์)

คู่ที่ห้าในพิกัด 135 ปอนด์ ระหว่าง โยธาฤทธิ์ เทพภาคิน กับ พีระพัฒน์ ศิษย์เสี่ยส่ง เป็นหนึ่งในคู่รุ่นใหญ่ที่แฟนมวยจับตาดูมาก
โดยโยธาฤทธิ์ลดน้ำหนักลง 0.8 ปอนด์ ชั่งได้ 134.2 ปอนด์ ขณะที่พีระพัฒน์ขาดถึง 1.7 ปอนด์ ชั่งได้เพียง 133.3 ปอนด์
จึงถือว่าตัวจริงของพีระพัฒน์อาจไม่ได้ใหญ่เต็มพิกัดเท่าโยธาฤทธิ์ แต่ได้ข้อดีที่ร่างกายไม่ต้องรีดหนักและมีความเบาสบายสูง
ในขณะที่โยธาฤทธิ์ แม้จะลดน้ำหนักบ้าง แต่ยังมีมวลกล้ามเนื้อเต็มใกล้พิกัดมากกว่า เหมาะกับการใช้แรงชนในวงในและการยืนแลกหมัดเข่า

ในศึกเพชรยินดี คู่นี้น่าจะเป็นการทดลองว่าระหว่าง “มวยตัวเต็มพิกัด” กับ “มวยตัวเบาไว” ใครจะทำได้ดีกว่ากันบนเวทีราชดำเนิน
โยธาฤทธิ์ เทพภาคิน อาจเน้นเดินบี้ ปิดระยะให้พีระพัฒน์ไม่มีพื้นที่เล่นเชิงมวยมากนัก พยายามดันเกมให้กลายเป็นมวยเข่าและหมัดที่ต้องใช้แรงต้านเยอะ
ส่วนพีระพัฒน์ ศิษย์เสี่ยส่ง หากเล่นวงนอกได้ดี ใช้การแตะแล้วถอย ขยับมุมและออกหมัด–แข้งในจังหวะโต้ ก็มีสิทธิ์สะสมคะแนนทีละน้อยจนกลายเป็นฝ่ายคุมเกมในสายตากรรมการได้เช่นกัน
จุดสำคัญอยู่ที่การรักษาวินัยตลอดสามยก ว่าฝ่ายไหนจะเหนื่อยน้อยกว่าและไม่หลุดจังหวะมากกว่ากัน

คู่ที่ 6 รุ่งเรืองเล็ก เกียรติฟ้าลิขิต vs น้ำตาเดือด เกียรติฉัตรชัย (พิกัด 126 ปอนด์)

คู่ที่หกในพิกัด 126 ปอนด์คือการปะทะกันของสองนักชกจากสายเกียรติฯ ได้แก่ รุ่งเรืองเล็ก เกียรติฟ้าลิขิต มุมแดง และ น้ำตาเดือด เกียรติฉัตรชัย มุมน้ำเงิน
รุ่งเรืองเล็กชั่งขาด 0.5 ปอนด์ น้ำหนักจริง 125.5 ปอนด์ ในขณะที่น้ำตาเดือดลดถึง 1.6 ปอนด์ ชั่งได้ 124.4 ปอนด์
ประเด็นสำคัญคือฝั่งน้ำตาเดือดต้องรีดน้ำหนักหนักกว่าค่อนข้างมากเมื่อเทียบกับรุ่นนี้ ซึ่งอาจส่งผลต่อแรงปลายในยกสามได้หากการฟื้นตัวไม่สมบูรณ์
ส่วนรุ่งเรืองเล็กแม้จะตัวเบากว่าพิกัดเล็กน้อย แต่ยังอยู่ในกรอบที่ร่างกายรับได้ และอาจได้ความคล่องเป็นพิเศษเป็นจุดเสริม

ในมุมเกม รุ่งเรืองเล็กอาจใช้ความไวในการขยับหลบ–ออกตัวและเน้นการเลือกจังหวะออกแข้ง–เข่าแบบเน้นความชัดเจนของอาวุธมากกว่าปริมาณ
ส่วน น้ำตาเดือด เกียรติฉัตรชัย จากชื่อก็พอเดาได้ว่าเป็นมวยที่มีสไตล์ร้อนแรง เดินบดบี้และพร้อมชนในทุกระยะ
ศึกเพชรยินดี ในไฟต์นี้จึงน่าจะเป็นเกมที่แบ่งเป็นสองโทน: ฝั่งแดงเน้นแท็คติกความเร็วและเชิงมวย ฝั่งน้ำเงินเน้นใช้หัวใจและพละกำลังเข้ากดดัน
ผู้ชนะอาจเป็นฝ่ายที่บีบให้เกมไหลไปในทางที่ตนเองถนัดได้มากกว่า โดยต้องบริหารแรงและสมาธิไปพร้อมกันตลอดสามยกอย่างไม่ผิดพลาด

คู่ที่ 7 เสาโท อ.อัจฉริยะ vs เจเจ เทพภาคิน (พิกัด 119 ปอนด์)

คู่ที่เจ็ดของศึกเพชรยินดี เป็นไฟต์ที่มีประเด็นเรื่องน้ำหนักชัดเจนมากที่สุดคู่หนึ่ง เนื่องจาก เสาโท อ.อัจฉริยะ ต้องลดน้ำหนักถึง 2.3 ปอนด์ ก่อนจะชั่งได้ 116.7 ปอนด์
ในขณะที่ เจเจ เทพภาคิน ชั่งได้ 118.8 ปอนด์ ขาดเพียง 0.2 ปอนด์จากพิกัด 119 ปอนด์
แม้ตัวเลขนี้จะอยู่ในกรอบที่ยอมรับได้ แต่การลดมากกว่า 2 ปอนด์ของเสาโทย่อมใช้พลังงานมากและอาจส่งผลให้ร่างกายเหนื่อยง่ายกว่าปกติในยกท้าย ๆ
ในขณะที่เจเจ ตัวเบาสบายและอยู่ใกล้พิกัดเต็ม ช่วยให้มีความมั่นใจในด้านพละกำลังมากกว่า

อย่างไรก็ดี เสาโท อ.อัจฉริยะ เป็นมวยชื่อดังที่แฟนมวยรู้จักดีด้านฝีมือและประสบการณ์บนเวทีใหญ่ การลดน้ำหนักหนักไม่ได้หมายความว่าจะเสียเปรียบเสมอไป หากทีมงานฟื้นตัวทันและจัดการอาหาร–น้ำได้ดี
เขายังสามารถใช้เทคนิคมวยไทยชั้นสูงทั้งแข้ง เข่า หมัด และศอกเพื่อพลิกสถานการณ์ได้
ส่วน เจเจ เทพภาคิน แม้จะได้เปรียบดุลพละกำลัง แต่ต้องระวังไม่พาตัวเองเข้าไปอยู่ในเกมที่เสาโทถนัด เช่น การยืนแลกในมุมที่เปิดให้โดนจังหวะสอง
ไฟต์นี้จึงเป็นเกมของ “ความพร้อมร่างกายหลังลดน้ำหนัก” ผสมกับ “ชั้นเชิงมวย” อย่างแท้จริง และเหมาะกับการเป็นหนึ่งในคู่ไฮไลต์ของค่ำคืน

คู่ที่ 8 แอ๊ดเทวดา ต.สุรัตน์ vs หนึ่งอำนาจ อึ่งอุบล (พิกัด 121 ปอนด์)

คู่ที่แปดในพิกัด 121 ปอนด์ระหว่าง แอ๊ดเทวดา ต.สุรัตน์ และ หนึ่งอำนาจ อึ่งอุบล เป็นอีกคู่หนึ่งที่มีชื่อสะดุดตาแฟนมวยตั้งแต่เห็นโปรแกรม
โดยแอ๊ดเทวดาลดน้ำหนัก 0.6 ปอนด์ ชั่งได้ 120.4 ปอนด์ ส่วนหนึ่งอำนาจขาด 0.3 ปอนด์ น้ำหนักจริง 120.7 ปอนด์
ทั้งคู่จึงมีน้ำหนักจริงใกล้เคียงกันมาก ต่างฝ่ายต่างมีทั้งข้อดีและข้อเสียแบบเล็กน้อยในแง่ความแน่นและความคล่อง ซึ่งทำให้รูปเกมมีความสูสีและคาดเดาได้ยาก

แอ๊ดเทวดาจากค่าย ต.สุรัตน์ มีสไตล์ที่อาจค่อนไปทางมวยฝีมือ เน้นใช้เทคนิคและการหลอกล่อจังหวะก่อนออกอาวุธ ในขณะที่ หนึ่งอำนาจ จากค่ายอึ่งอุบล ชื่อก็พอชี้ให้เห็นภาพของมวยที่เน้นใช้แรงและความบู๊เป็นอาวุธหลัก
ไฟต์นี้ในศึกเพชรยินดี จึงเหมือนการเจอกันของ “เทวดา” ที่ใช้เชิงกับ “อำนาจ” ที่ใช้แรง
หากแอ๊ดเทวดาสามารถคุมจังหวะให้อยู่ในเกมที่ตนเองถนัด ก็มีโอกาสใช้ลูกถีบ–แข้งคุมระยะและเก็บคะแนนได้ดี แต่ถ้าหนึ่งอำนาจบีบให้เกมเป็นการชนแลกในทุกช่วง ก็อาจเห็นการสวิงของรูปมวยที่ทำให้ไฟต์นี้เดือดกว่าที่คิด

คู่ที่ 9 วูฅอง ศิษย์เจริญวิทย์ vs ไก่ป่า ว.สังข์ประไพ (พิกัด 132 ปอนด์)

คู่ปิดท้ายศึกเพชรยินดี ในพิกัด 132 ปอนด์ เป็นการเจอกันของ วูฅอง ศิษย์เจริญวิทย์ กับ ไก่ป่า ว.สังข์ประไพ ซึ่งทั้งสองชื่อก็ดึงดูดความสนใจได้ไม่น้อย
วูฅองชั่งขาดเพียง 0.2 ปอนด์ น้ำหนักจริง 131.8 ปอนด์ แสดงถึงการคุมพิกัดที่ดีและมีความสบายตัว ส่วนไก่ป่าต้องลดถึง 1.5 ปอนด์ ชั่งได้ 130.5 ปอนด์
แปลว่าตัวจริงก่อนลดน่าจะใหญ่กว่าพิกัดพอสมควรจนต้องเค้นลงมา ซึ่งอาจให้รูปร่างที่เฟิร์มและแข็งแรง แต่ในขณะเดียวกันก็เป็นภาระต่อการฟื้นตัวก่อนขึ้นชกเช่นกัน

ในเชิงรูปเกม วูฅองอาจเป็นมวยที่ใช้ความเร็วและความคมของจังหวะเข้าทำในการต่อสู้ เน้นการออกแข้งและหมัดแบบมีวินัย ไม่ฟุ้งจนเกินไป เพราะสภาพร่างกายหลังชั่งค่อนข้างสมดุล
ขณะที่ ไก่ป่า ว.สังข์ประไพ ซึ่งมาจากค่ายใหญ่ที่มีชื่อเสียงด้านการสร้างมวยฝีมือผสมบู๊ อาจเดินเข้าหาหนัก ๆ เพื่อใช้พละกำลังบีบจนวูฅองต้องติดวงในและเสียจังหวะมวยของตนเอง
ไฟต์ปิดท้ายนี้ในศึกเพชรยินดี จึงเป็นเหมือนบทสรุปของค่ำคืนว่าระหว่างมวยตัวสบายที่ขาดเล็กน้อย กับมวยที่ลดหนักแต่มีฐานร่างกายใหญ่กว่า แต่ละแบบมีข้อดีข้อเสียอย่างไรในเกมจริงสามยกบนเวทีราชดำเนิน

วิเคราะห์ผลชั่งน้ำหนักและผลต่อรูปเกมในศึกเพชรยินดี

จากการพิจารณาผลชั่งน้ำหนักของศึกเพชรยินดี รอบนี้พบว่ามีทั้งเคส “ลด” และ “ขาด” น้ำหนักตั้งแต่ระดับ 0.1–0.8 ปอนด์ ไปจนถึงเคสหนัก ๆ ที่ลดหรือขาดเกิน 1.5 ปอนด์
เช่น วราพลที่ลด 2.1 ปอนด์ เสาโทที่ลด 2.3 ปอนด์ น้ำตาเดือดที่ลด 1.6 ปอนด์ และไก่ป่าที่ลด 1.5 ปอนด์
ตัวเลขเหล่านี้ทำให้แฟนมวยสามารถมองเห็นภาพได้ว่าคู่ใดควรจับตาเรื่องแรงปลายในยกสุดท้ายเป็นพิเศษ และคู่ใดที่ทั้งสองฝ่ายชั่งได้ใกล้พิกัดมาก ทำให้โฟกัสไปที่ฝีมือได้มากกว่า
ในทางกลับกัน คู่ที่ชั่งได้ตามพิกัดหรือลดเพียง 0.2–0.4 ปอนด์ เช่น แพรวพราว–โด่งดัง, แอ๊ดเทวดา–หนึ่งอำนาจ และ วูฅอง–ไก่ป่า ถูกจัดอยู่ในกลุ่มที่โครงสร้างทางกายภาพค่อนข้างสมดุลกว่า

โดยหลักแล้ว นักมวยที่ “ลดน้ำหนักมาก” มักมีข้อดีคือรูปร่างก่อนลดใหญ่ มีกล้ามเนื้อและพละกำลังดิบจำนวนมาก แต่ต้องแลกกับความเสี่ยงว่าอาจฟื้นตัวไม่ทันในเวลาอันสั้นก่อนขึ้นชก ทำให้เกิดอาการล้าหรือแผ่วเร็วในยกท้าย ๆ
ขณะที่ฝั่ง “ขาดน้ำหนักเล็กน้อย” มักตัวสบายและเคลื่อนไหวคล่อง แต่อาจเสียเปรียบในจังหวะชนตรง ๆ เมื่อเทียบกับมวยที่ตัวใหญ่กว่า
ศึกเพชรยินดี ครั้งนี้จึงเป็นตัวอย่างที่ดีสำหรับการนำผลชั่งน้ำหนักมาประกอบการวิเคราะห์ เพื่ออ่านเกมว่าไฟต์ใดมีโอกาสเป็นเกมต้น–กลางแรงจัด และไฟต์ใดต้องลุ้นแรงปลายว่าฝั่งใดจะยืนอยู่ได้จนเสียงระฆังสุดท้าย

ค่ายมวยและสังกัดที่ร่วมสร้างสีสันในศึกเพชรยินดี

ศึกเพชรยินดี รอบนี้ยังสะท้อนบทบาทของค่ายมวยและสังกัดต่าง ๆ ที่ร่วมกันสร้างสีสันให้กับวงการอย่างชัดเจน ตั้งแต่ค่ายภูธรอย่าง พานทองยิมส์ ศูนย์กีฬากุดฉิม จ.เมืองศรี ลูกเจ้าแม่ไทรทอง พันธุ์ดักษ์รัตนบุรี สก.เอกวิน
ไปจนถึงค่ายในเครือเพชรยินดีกึ่งตรงอย่าง เทพภาคิน เกียรติฟ้าลิขิต เกียรติฉัตรชัย อ.อัจฉริยะ ต.สุรัตน์ อึ่งอุบล และ ว.สังข์ประไพ
ค่ายเหล่านี้ต่างมีเอกลักษณ์ในการสร้างมวยของตนเอง และการได้มาชนกันบนเวทีราชดำเนินในนามศึกเพชรยินดี จึงช่วยให้แฟนมวยได้เห็น “สไตล์ของแต่ละสำนัก” อย่างเด่นชัด ยิ่งกว่าการอ่านชื่อค่ายเฉย ๆ บนกระดาษ

อีกด้านหนึ่ง การที่ศึกเพชรยินดี เปิดพื้นที่ให้กับค่ายต่าง ๆ ทั่วประเทศโดยไม่จำกัดเฉพาะค่ายในเมืองหลวง ยังสะท้อนถึงโครงสร้างวงการมวยไทยที่ยังคงเปิดกว้างสำหรับทุกคนที่จริงจังกับการฝึกซ้อมและพัฒนานักมวย
ไม่ว่าค่ายนั้นจะอยู่ในอีสาน กลาง เหนือ ใต้ หรือแม้แต่เชื่อมโยงกับสถาบันการศึกษาและศูนย์กีฬาในท้องถิ่นก็ตาม
การเห็นชื่ออย่าง ศูนย์กีฬากุดฉิม หรือ ศิษย์เจริญวิทย์ ปรากฏบนผ้าใบราชดำเนินอย่างสม่ำเสมอในศึกเพชรยินดี จึงเป็นสัญญาณเชิงบวกว่าวงการมวยไทยยังมีรากแข็งแรงอยู่ทั่วประเทศ ไม่ได้กระจุกตัวอยู่เฉพาะในค่ายใหญ่ไม่กี่แห่งเท่านั้น

สรุปภาพรวมความน่าดูของศึกเพชรยินดี 4 ธันวาคม 2568

เมื่อมองในมุมรวม ศึกเพชรยินดี วันที่ 4 ธันวาคม 2568 ณ เวทีราชดำเนิน ถือเป็นบัตรมวยที่ครบถ้วนทั้งด้านความมันส์และความหมาย
ทั้งในเชิงพิกัดที่จัดตั้งแต่รุ่นเล็กไปจนถึงรุ่นใหญ่ การคัดเลือกคู่มวยที่มีความสูสีด้านน้ำหนักและสไตล์การชก และการเปิดเวทีให้ค่ายมวยจากทุกภูมิภาคได้ส่งนักชกขึ้นมาแสดงฝีมือ
ไฟต์อย่าง เสาโท vs เจเจ, รุ่งเรืองเล็ก vs น้ำตาเดือด หรือ วูฅอง vs ไก่ป่า ล้วนมีประเด็นให้แฟนมวยได้วิเคราะห์ลึกไปกว่าการคาดเดาแค่ฝั่งต่อ–รอง
ทำให้บัตรนี้ไม่ได้เป็นเพียงการจัดมวยเพื่อความบันเทิง แต่ยังเป็นบทพิสูจน์อย่างหนึ่งของคุณภาพมาตรฐานศึกเพชรยินดี ในฐานะโปรโมชันระดับท็อปอีกด้วย

สำหรับแฟนมวยที่ต้องการดูกีฬามวยไทยอย่างมีมิติและเข้าใจเบื้องหลังของคู่มวยแต่ละคู่ ศึกเพชรยินดี รอบนี้ถือว่าตอบโจทย์ได้เป็นอย่างดี
การเตรียมตัวด้วยการอ่านตารางและการวิเคราะห์ก่อนชมจริง จะช่วยให้คุณรู้สึกสนุกกับการดูมวยมากขึ้น เพราะจะมองเห็นเหตุผลว่าทำไมบางคู่จึงเร่งต้น บางคู่วางเกมเก็บปลาย และบางคู่ดูแล้วสูสีจนน่าตัดสินใจยาก
ทั้งหมดนี้คือเสน่ห์ของศึกเพชรยินดี ที่ยังคงทำให้แฟนมวยพูดถึงได้เสมอทุกครั้งที่มีการระเบิดศึกบนเวทีราชดำเนินในค่ำคืนอันดุเดือดเช่นนี้